น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 มีกำไร 2,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 968 ล้านบาท คิดเป็น 73% เนื่องจากการรับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH 1,666 ล้านบาท ประกอบกับรับรู้ผล
กำไรของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์
โดยมีรายได้รวม 13,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5,035 ล้านบาทคิดเป็น 58% จากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 ที่เปิดดำเนินการในไตรมาส 1/2564 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ที่รับรู้รายได้ครั้งแรกในไตรมาส 4/2563 การรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าและไอน้ำของโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP และรายได้เงินปันผลรับจาก INTUCH
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ไตรมาส 3/2564 เท่ากับ 24.6% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.9% เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 14% จาก 235.22 บาท/ล้านบีทียู เป็น 268.61 บาท/ล้านบีทียู ขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) เฉลี่ยลดลงจากปีก่อน 29% จาก -0.1188 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564 กัลฟ์ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 2.34 เท่า สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 1.75 เท่า สาเหตุหลักเนื่องจากกัลฟ์ได้ทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน 48,612 ล้านบาท เพื่อชำระค่าหุ้นของ INTUCH ที่ได้มาจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
น.ส.ยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่าไตรมาส 4/2564 คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะลดลงมาที่ประมาณ 2.00 เท่า หลังจากกัลฟ์ เปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีสำหรับเงินลงทุนใน INTUCH มาเป็นวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากกำไรที่เกิดจากการปรับมูลค่าต้นทุนเฉลี่ยของ INTUCH ให้เป็นมูลค่าตลาด ณ วันที่ 1 ต.ค. 2564 (วันที่มีการเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชี)