ราคาน้ำมันปิดผสมผสานในวันจันทร์(15พ.ย.) อยู่ภายใต้แรงกดดันอุปทานเพิ่มขึ้นและอุปสงค์อ่อนแอลง ท่ามกลางดอลลาร์ที่แข็งค่า ปัจจัยหลังนี้ฉุดทองคำปรับลดเช่นกัน ขณะที่วอลลสตรีทปิดลบ ตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเทคโนโลยี
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ ปิดที่ 80.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 12 เซนต์ ปิดที่ 82.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดน้ำมันถูกฉุดจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและข่าวลือที่ว่ารัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ อาจปล่อยน้ำมันดิบจากคลังปิโตรเลียมสำรองทางยุทธศาสตร์ เพื่อชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมัน
ขณะเดียวกันบริษัทพลังงานต่างๆของสหรัฐฯ ได้เดินเครื่องแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็น 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ตอบสนองต่อราคาน้ำมันที่ดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี ที่กระตุ้นให้บริษัทผู้ขุดเจาะน้ำมันบางแห่งหวนคืนสู่ปฏิบัติการอีกครั้ง
ส่วนราคาทองคำในวันจันทร์(15พ.ย.) ปรับลดเป็นครั้งแรกในรอบ 8 วัน หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 1.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,866.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันจันทร์(15พ.ย.) ปิดลบ การดีดตัวของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯบ่อนทำลายความกระหายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่หุ้นโบอิ้งขยับขึ้น จากสัญญาณอุปสงค์เครื่องบินขนส่งสินค้า
ดาวโจนส์ ลดลง 12.86 จุด (0.04 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 36,087.45 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 0.05 จุด (0.00 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,682.80 จุด แนสแดค ลดลง 7.11 จุด (0.04 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,853.85 จุด
ภาคเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ฉุดรั้งตลาดหนักหน่วงที่สุด หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯดีดตัวขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีที่แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม
การปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวถ่วงของภาคต่างๆที่มีการเติบโตสูง อย่างเช่นภาคเทคโนโลยี เนื่องจากมันอาจส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ในอนาคต