นายพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สาลี่ คัลเล่อร์ (COLOR) เปิดเผยว่า
บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 10-15% จากปีนี้ โดยจะมาจากธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจมาสเตอร์แบทช์ ประกอบด้วย ธุรกิจการเกษตร เช่น ฟิล์มคลุมโรงเรือน, ฟิล์มคลุมบ่อน้ำ, ท่อน้ำต่างๆ, ธุรกิจสินค้าใช้แล้วทิ้ง เช่น Biodegradable, Disposable diape, Disposable film, Packaging, ธุรกิจสินค้าคงทน เช่น Automotive, อุปกรณ์ไฟฟ้า, การก่อสร้าง, สายไฟฟ้า และธุรกิจ Recycling หรือการนำพลาสติกส์กลับมาทำใหม่ ในธุรกิจนี้คาดจะเติบโตราว 7-8% ของรายได้รวมในปีหน้า
ธุรกิจพลังงานทางเลือก จะดำเนินการใน 3 ส่วน คือ การทำทุ่นลอยน้ำเพื่อวางแผงโซลาร์เซลล์, รับบริการติดตั้ง ออกแบบพลังงานแสงอาทิตย์ทุกรูปแบบ ทั้งโซลาร์รูฟท็อป โซลาร์ภาคพื้นดิน หรือโซลาร์บนทุ่นลอยน้ำ เป็นต้น ส่วนสุดท้ายจะเป็นการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA)
ทั้งนี้ ในธุรกิจพลังงานทางเลือกดังกล่าว ที่ผ่านมาได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรไปแล้ว และจะเริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้ในเดือนธ.ค.64 และจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) ได้ในเดือนม.ค.65 เป็นต้นไป โดยมีกำลังการผลิตปีแรกที่ 15 เมะกวัตต์ และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตสู่ 40 เกมะวัตต์ ใน 3-5 ปี ซึ่งบริษัทคาดหวังการเติบโตของธุรกิจพลังงานทางเลือกราว 10-15% ของรายได้รวม และมีมาร์จิ้นที่ 15-20%
ธุรกิจเกษตรกรรม โดยบริษัทได้มีการทำถุงปลูก และได้มีการศึกษากับหน่วยงานการศึกษา เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น และให้คุณภาพของผลผลิตต่างๆ ดีขึ้น โดยเน้นไปที่พืชเศรษฐกิจ เช่น เมลอน, ทุเรียน, มะม่วง เป็นต้น ซึ่งระหว่างนี้อยู่ระหว่างการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย คาดจะสะท้อนผลประกอบการได้ในปีหน้า
นอกจากนี้ ยังทำเรื่องของการทำโรงเรือนที่ป้องกันแสง UV และสามารถจำแนกแสง เพื่อให้พืชมีการเจริญเติบโตสูง รวมถึงสามารถลดอุณหภูมิของโรงเรือน เพื่อช่วยการเติบโตของพืช โดยมีการจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว คาดสะท้อนผลประกอบการในปี 65 เช่นกัน อีกทั้งยังมีการควบคุมค่าใช้จ่ายภายในองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วย
"เรายอมรับว่าน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งถือเป็นต้นทุน ส่งผลกระทบบ้างแต่ไม่เป็นปัญหาอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปีหน้าเราคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้ หลักๆ มาจากธุรกิจใหม่ ที่ปีหน้าจะมีการรับรู้รายได้เข้ามา รวมถึงโครงการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ได้เริ่มไปแล้วในปีนี้ และน่าจะประสบความสำเร็จในปีหน้า, พยายามขายสินค้าไปในกลุ่มลุกค้าที่เรายังมีสัดส่วนการตลาดต่ำอยู่" นายพีรพันธ์ กล่าว