ผู้เขียน หัวข้อ: กลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่นปี 65 สเน่ห์ไม่จางคาดฟื้นต่อเนื่อง-มองผลกระทบ EV ยังอีกไกล  (อ่าน 412 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ hs8jai

  • *
  • กระทู้: 769
  • Popular Vote : 0
กระแสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังมาแรงแล้วหุ้นในกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่นยังน่าสนใจอยู่หรือไม่ หลังประเมินทิศทางราคาน้ำมันในปี 65 จะย่อตัวจากที่พุ่งแรงในช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ต่อเนื่องต้นปีหน้ามาอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ยังต้องจับตาสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพราะหากรุนแรงจะมีผลกระทบความต้องการใช้น้ำมัน


ทั้งนี้ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เห็นว่ารถ EV เป็นเรื่องระยะยาว ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่นในปี 65 ภายใต้คาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 65-70 เหรียญ/บาร์เรล จึงแนะลงทุนหุ้นสถานีน้ำมัน อย่าง PTG, OR และ โรงกลั่น SPCR, BCP, TOP

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 65 หุ้นกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากปีนี้ จากทิศทางราคาน้ำมันคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 80 เหรียญฯ/บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับประฒาณ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล หลังหมดฤดูหนาว หรือปลายเดือน ก.พ.-มี.ค.65 จากนั้นน่าจะย่อตัวลงสู่ระดับ 60 เหรียญฯ/บาร์เรลในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ทั้งปียังคาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ที่ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล

ขณะที่นโยบายของภาครัฐในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตรตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.-31 มี.ค.65 เป็นปัจจัยกระทบระยะสั้น ดังนั้น หลังจากผ่านพ้นระยะเวลาดังกล่าวไปแล้ว ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและโรงกลั่นก็จะฟื้นตัวขึ้นได้ดี

สำหรับการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเป็นผลให้หุ้นกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น หมดเสน่ห์หรือไม่นั้น บล.กสิกรไทย มอง EV ยังเป็นเรื่องระยะยาวในประเทศไทย โดยอิงจากที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า Zero Emission Vehicles หรือ ZEV จำนวน 725,000 คันต่อปี หรือ 30% ของการผลิตรถยนต์ภายในปี 2030 ซึ่งใช้เวลาอีกเป็น 10 ปีจึงจะเห็นความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ทำให้ผลกระทบต่อน้ำมันในขณะนี้ถือว่าน้อยมาก

อย่างไรก็ตาม จากการที่หุ้นกลุ่มน้ำมันมีการตอบสนองต่อราคาน้ำมันน้อยลง เพราะคนส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่ในระดับสูงได้ตลอดไป ขณะเดียวกันคาดว่าซัพพลายจากฝั่งสหรัฐฯน่าจะเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 65 จากปัจจุบันซัพพลายน้ำมันน้อยกว่าคาด

รวมถึงนักลงทุนก็น่าจะอยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอนว่าจะเป็นบวกหรือลบหลังผ่านพ้นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หุ้นกลุ่มน้ำมันปรับตัวลงมามากแล้ว ดังนั้นหากโอมิครอนไม่ได้รุนแรง จนกลายเป็นเหมือนแค่โรคหวัดธรรมดา ก็จะดีต่อดีมานด์น้ำมันที่จะกลับมามากขึ้นได้

บล.กสิกรไทย แนะซื้อ หุ้น บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ให้ราคาเป้าหมายที่ 18.70 บาท, บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ราคาเป้าหมายที่ 30.70 บาท, บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ราคาเป้าหมาย 14 บาท และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ราคาเป้าหมาย 66.25 บาท

นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองปี 65 จะเป็นปีสำคัญของ Energy transition เพราะจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายรัฐ และการลงทุนภาคเอกชนมีรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ EV และพลังงานหมุนเวียน

แม้การลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดจะสร้างสัดส่วนกำไรในระยะสั้นไม่มาก แต่ในระยะยาวเมื่อเกิด Ecosystem ครบวงจร จะช่วยรองรับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ มองว่า บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เป็นหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านนี้ที่สุดในกลุ่มฯ

ส่วนมุมมองต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่นและน้ำมัน โดยเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด เพราะ Valuation ส่วนใหญ่ไม่แพง คาดว่าปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ที่มีการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และจะมีการเปิดประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันมองว่าโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนน่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น ดังนั้น จะเห็นการเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะภายในประเทศ อีกทั้งคาดราคาน้ำมันก็น่าจะลดลงจากปีนี้ก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มน้ำมันเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนหุ้นพลังงานมากนัก จึงแนะนำนักลงทุนเน้น Trading ระยะสั้นเป็นหลัก ส่วนการลงทุนระยะกลาง แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง, การบริโภคในประเทศ, และหุ้น Anti-oil ที่ต้นทุนผลิตอ้างอิงกับราคาพลังงาน เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ให้ราคาเป้าหมาย 65 บาท, บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ราคาเป้าหมาย 34 บาท, บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ราคาเป้าหมาย 22 บาท , บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ราคาเป้าหมาย 530 บาท (กำไรส่วนใหญ่มาจากปิโตรเคมี)

ด้าน นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ มองราคาน้ำมันปี 65 เฉลี่ยอยู่ที่ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล โดยต้นปีหน้าจะเกิดโอเวอร์ซัพพลาย หลังมีกำลังการผลิตของโอเปกพลัสเพิ่มเข้ามาอีก 4 แสนบาร์เรล จนถึงเดือน ส.ค.65 รวมถึงประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล แคนาดา ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเข้ามาอีก จากปัจจุบันที่ดีมานด์มากกว่าซัพพลายกว่า 1 ล้านบาร์เรล ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น แนะซื้อ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) โดยให้ Trading ระยะสั้น

ขณะที่ในครึ่งปีหลังของปี 65 มองหุ้นกลุ่มค้าน้ำมันน่าจะกลับเข้ามาลงทุนได้ หลังผ่านพ้นโอเวอร์ซัพพลายไปแล้ว ซึ่งต้องรอประเมินสถานการณ์น้ำมันอีกครั้ง แต่แนะต้นปีให้เล่นตามประเด็นอื่นไปก่อน เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EV, อสังหาริมทรัพย์ หรือโรงกลั่น เป็นต้น