ผู้เขียน หัวข้อ: ดาวโจนส์พักฐาน หลังพุ่งกว่า 200 จุดติดต่อกัน 2 วัน  (อ่าน 342 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ luktan1479

  • *
  • กระทู้: 1,132
  • Popular Vote : 0


ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวแดนบวกสลับแดนลบในช่วงแคบๆ วันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดติดต่อกัน 2 วัน

ณ เวลา 21.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 36,805.68 จุด บวก 6.03 จุด หรือ 0.02%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดวานนี้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนยังคงซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราคาหุ้นของเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายวันนี้ หลังจากที่ GM สูญเสียตำแหน่งรถยนต์ขายดีที่สุดในสหรัฐประจำปี 2564 ให้แก่บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ของญี่ปุ่น


ทั้งนี้ โตโยต้าสามารถครองตำแหน่งรถยนต์ขายดีที่สุดในสหรัฐประจำปี 2564 หลังจากที่ GM ยึดตำแหน่งดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 2474 หรือยาวนานถึง 90 ปี

GM เปิดเผยวานนี้ว่า บริษัทมียอดขายรถยนต์ในสหรัฐจำนวน 2.2 ล้านคันในปี 2564 ลดลง 12.9% เมื่อเทียบกับปี 2563 ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนชิป ซึ่งทำให้ต้องมีการปิดโรงงานจำนวนมาก

ทางด้านโตโยต้าระบุว่า บริษัทมียอดขายรถยนต์ในสหรัฐจำนวน 2.3 ล้านคันในปี 2564 เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยมียอดขายรถยนต์มากกว่า GM จำนวน 114,034 คัน และนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทรถยนต์ที่ไม่ใช่ของสหรัฐสามารถครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดในอเมริกา

ซิตี้กรุ๊ปออกรายงานระบุว่า ดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มพุ่งขึ้นทะลุ 5,000 จุดในช่วงสิ้นปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ปได้ปรับเป้าดัชนี S&P 500 สู่ระดับ 5,100 จุดในสิ้นปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4,900 จุดในรายงานเดือนต.ค.2564

ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 4,793.54 จุด หลังจากพุ่งขึ้น 27% ในปี 2564

บริษัทในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาดในปีที่แล้ว โดยมีกำไรพุ่งขึ้น 52.8%, 96.3% และ 42.6% ในไตรมาส 1,2 และ 3 ตามลำดับ เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ไตรมาส 4 คาดว่าจะมีกำไรพุ่งขึ้น 22.3% โดยได้ปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล, การอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งการดีดตัวขึ้นของราคาสินค้า และการพุ่งขึ้นของอุปสงค์ในตลาด

ซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่าแนวโน้มผลประกอบการที่สดใสในปีนี้จะยังคงช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ แม้มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 807,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 375,000 ตำแหน่ง จากระดับ 505,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.

ภาคบริการมีการจ้างงาน 669,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงาน 138,000 ตำแหน่ง

นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 422,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.1%

ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 210,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 581,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.5%

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำเดือนธ.ค.ในวันนี้ ซึ่งในการประชุมดังกล่าว เฟดมีมติเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.2565 โดยการปรับลดวงเงิน QE ของเฟดได้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำ QE ในเดือนมี.ค.2565

ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และจำนวน 2 ครั้งทั้งในปี 2566 และ 2567