ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าร่วงลง หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผยรายงานการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 28,721.49 จุด ร่วงลง 610.67 จุด หรือ -2.08% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 22,824.60 จุด ลดลง 82.65 จุด หรือ -0.36%
เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ในวันพุธ (5 ม.ค.) โดยระบุว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ในภาวะตึงตัวอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับลดการถือครองสินทรัพย์ทั้งหมดด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
"กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจ, ภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้อ ก็ถือเป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Federal Funds Rate) ในเวลาที่รวดเร็วขึ้น หรือรวดเร็วกว่าที่กรรมการเฟดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่กรรมการเฟดบางส่วนมองว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลบัญชี (Balance Sheet) ของเฟดในทันทีหลังจากที่มีการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" เฟดระบุในรายงานการประชุมประจำวันที่ 14-15 ธ.ค. 2564
รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเจ้าหน้าที่เฟด (Dot Plot) บ่งชี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย. 2565 จากเดิมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2566
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคที่รายงานไปแล้ว มาร์กิตและไฉซินเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค.ของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 53.1 จากระดับ 52.1 ในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้น และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของภาคบริการจีนในวันข้างหน้า
ทั้งนี้ ข้อมูลของไฉซินออกมาสอดคล้องกับรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งมีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PMI ภาคบริการของจีนเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นแตะระดับ 52.7 จากระดับ 52.3 ในเดือนพ.ย.