เคอรี เชนท์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ขณะนี้เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักของออสเตรเลียแล้ว โดยยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่อัตราการเสียชีวิตและการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นต่ำกว่าการติดเชื้อสายพันธุ์อื่น ๆ อย่างมาก
เชนท์กล่าวว่า สำหรับในรัฐนิวเซาท์เวลส์
ผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 90% เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ส่วนอีกราว 10% ที่เหลือนั้นเป็นสายพันธุ์เดลตา ส่วนผู้ป่วยหนักในห้องไอซียูของโรงพยาบาลทั่วรัฐนั้น มี 67% เป็นผู้ติดเชื้อโอมิครอน
เมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.) เว็บไซต์ covidlive.com.au รายงานว่า ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในออสเตรเลียอยู่ที่ 90,847 ราย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ป่วยจริงในชุมชนอาจสูงกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันระบบตรวจเชื้อของประเทศรับภาระหนักจนไม่สามารถตรวจหาเชื้อได้อย่างทั่วถึง
รายงานระบุว่า ตัวเลขการติดเชื้อโอมิครอนนั้นสูงกว่ายอดการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาถึง 33 เท่า โดยในช่วงจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564 นั้น ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่เพียง 2,752 ราย
ยอดผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนในวันอังคารอยู่ที่ 27 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับยอดผู้เสียชีวิตรายวันสูงสุดในช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564
ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของนิวเซาท์เวลส์ 2,242 ราย เพิ่มขึ้น 50% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีผู้ป่วยวิกฤต 175 ราย และมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยวิกฤตล้วนแต่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
อนึ่ง ออสเตรเลียได้เปลี่ยนจากการพึ่งพาการตรวจหาเชื้อด้วยระบบ PCR มาเป็นการใช้ชุดตรวจ ATK ที่บ้าน หลังยอดผู้ติดเชื้อที่ทะยานขึ้นระลอกใหม่ได้สร้างภาระหนักให้กับระบบสาธารณสุข โดยในวันนี้ รัฐนิวเซาท์เวลส์ได้สั่งให้ประชาชนรายงานผลการตรวจเชื้อเป็นบวกผ่านทางแอปพลิเคชัน เช่นเดียวกับแนวทางของรัฐอื่น ๆ