ผู้เขียน หัวข้อ: UOB ประกาศรุกขยายธุรกิจในไทยเต็มที่รับศักยภาพโต  (อ่าน 387 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Prichas

  • *
  • กระทู้: 1,059
  • Popular Vote : 0
UOB ประกาศรุกขยายธุรกิจในไทยเต็มที่รับศักยภาพโตหลังซื้อพอร์ตรายย่อยซิตี้กรุ๊ป

นาย วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี (UOB) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป (citi group) ในไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีมูลค่ารวม 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ คาดว่ากระบวนการทยอยรับโอนธุรกิจรายย่อยจาก citi group ในไทยและมาเลเซียจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/65 ส่วนอินโดนีเซียน่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/65 และเวียดนามจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66

ในส่วนของประเทศไทย การควบรวมธุรกิจลูกค้ารายย่อยจาก citi ในไทยเข้ามาจะช่วยเสริมศักยภาพให้กับ UOB ให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น ดังนั้น UOB พร้อมจะเดินหน้ารุกขยายธุรกิจในประเทศไทยเพื่อสร้างการเติบโต ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันและแข็งแกร่งมากขึ้น ประกอบกับ เพื่อเป็นการเชื่อมโยงกลุ่มลุกค้าในภูมิภาคอาเซียนให้กับกลุ่ม UOB แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยจะมีความรุนแรง แต่ธนาคาร UOB ในประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี และกลุ่มลูกค้าของ citi ในไทย ถือว่ามีคุณภาพดี ทำให้ธนาคารสามารถต่อยอดการนำเสนอผลิตภัณฑ์บริการทางการเงินต่างๆได้มากขึ้น

"ธุรกิจรายย่อยในไทยยอมรับว่ามีการแข่งขันที่สูงและรุนแรง แต่เรายังมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตได้ดี การที่รวมพอร์ตลูกค้ารายย่อยจาก citi ในไทยเข้ามาถือว่าเราได้ลูกค้าที่มีคุณภาพ และมีฐานลูกค้าที่ได้เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจในไทยสามารถต่อยอดการให้บริการต่างๆกับลูกค้าเพิ่มเติมได้ ทำให้เราสามารถ Scale up ธุรกิจในไทย ให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งยอมรับว่าสำหรับประเทศไทยเราจ่ายค่าพรีเมียมที่สูงกว่าประเทศอื่นๆค่อนข้างมาก และเป็นประเทศที่มีฐานลูกค้าและคุณภาพของลูกค้าที่ดีมากที่สุด ทำให้เราค่อนข้าง Happy กับพอร์ตของ citi ในประเทศไทยที่เราได้มา และ Contribute โอกาสต่างๆให้กับเราและประเทศไทยด้วย ซึ่งเชื่อว่า 1+1 more than 2 แน่นอน" นาย วี อี เชียง กล่าว
UOB คาดว่าธุรกิจรายย่อยในประเทศไทยของ UOB หลังจากรับโอนพอร์ตธุรกิจรายย่อยจาก citi ประเทศไทย2/65 จะทำให้ ส่วนแบ่งตลาด (Market share) ธุรกิจรายย่อยในไทยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 6 จากเดิมอันดับ 5 โดยมีฐานลูกค้าจาก 1.3 ล้านราย เพื่มเป็น 2.4 ล้านราย ด้านธุรกิจบัตรเครดิตจะขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 3 หรือปรับเพิ่มขึ้นมา 5 อันดับ อีกทั้งจะทำให้ UOB มีศักยภาพในการขยายสินเชื่อในประเทศไทยเร่งการเติบโตถึงได้อีกเท่าตัว

นาย วี อี เชียง กล่าวว่า การเข้าซื้อพอร์ตรายย่อยของ citi group ทั้ง 4 ประเทศดังกล่าวเพื่อเสริมศักยภาพในการสร้างเครือข่ายในภูมิภาคอาเซียนให้แข็งแกร่งมากขึ้น และเชื่อมโยงเครือข่ายของลูกค้าในอาเซียนเข้าด้วยกัน รวมถึงการเชื่อมโยงบริการที่เป็น Tradional Bank และ Digital Bank รวมถึงเห็นโอกาสการขยายตลาดในอาเซียนมากขึ้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมของอาเซียนที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีหลังจากผ่านการแพร่ระบาดโควิด-19 ไปแล้ว จากการค้าและการลงทุนต่างๆที่จะเกิดขึ้นอีกมาก โดยเฉพาะในเวียดนามมีโอกาสการเติบโตในระยะยาวที่ดี อีกทั้งยังทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของ UOB เพิ่มเป็นมากกว่า 13% ในปี 66