NUSA พุ่ง 12.33% รับ
ข่าวสะพัดเล็งเพิ่มทุนแลกหุ้น WEH,ผู้บริหารเผยแค่ศึกษาลงทุนเพิ่ม
ราคาหุ้น NUSA พุ่ง 12.33% หรือเพิ่มขึ้น 0.18 บาท มาที่ 1.64 บาท มูลค่าซื้อขาย 636.06 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.59 น. จากราคาเปิด 1.48 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 1.68 บาท ราคาต่ำสุด 1.47 บาท
นางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) ชี้แจงกระแสข่าวที่สะพัดในห้องค้าหลักทรัพย์ว่าบริษัทกำลังพิจารณาออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำไปแลกกับหุ้นของ บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) จากผู้ถือหุ้นรายย่อยนั้น
ขณะนี้บริษัทเพียงอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมใน WEH หลังจากเข้าไปถือหุ้นใน WEH แล้วระดับหนึ่ง โดยนำเรื่องดังกล่าวเข้ามาพิจารณา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ แต่คงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมก่อน รวมถึงรูปแบบการลงทุนที่มีความเหมาะสม
"ก็มีการนำเรื่องวินด์ เอ็นเนอร์ยี่ เข้ามาคุยในที่ประชุมของบริษัทเหมือนกัน แต่ก็ยังศึกษาอยู่ ยังไม่แน่ใจว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเติมไหม หรือรูปแบบใด แต่เราก็มีลงทุนในวินด์ เอ็นเนอร์ยี่ มาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ NUSA ก็กำลังประชุมในการเตรียมปรับโครงสร้างของบริษัทและธุรกิจใหม่ คาดว่าแผนต่างๆจะออกมาสัปดาห์หน้า วันนี้ก็มีประชุมทำแผนงานกัน ซึ่งเราก็สนใจหากการลงทุนในวินด์ เอ็นเนอร์ยี่ เพิ่มเติม สอดคล้องไปกับโครงสร้างธุรกิจใหม่และสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับ NUSA ได้มากขึ้น" นางศิริญา กล่าว
สำหรับการปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ของ NUSA จะหันมาเน้น 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจกัญชง ธุรกิจสุขภาพ และธุรกิจพลังงาน ซึ่งจะสร้างรายได้เข้ามามากขึ้นตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป โดยธุรกิจกัญชงและสุขภาพได้ประกาศแผนงานไปก่อนหน้านี้แล้วก็จะมีการเดินหน้าและรุกตลาดมากขึ้นเด้วยการนำโครงการต่างๆ ที่บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรไว้เข้ามาต่อยอดธุรกิจ และเสริมกับการท่องเที่ยวด้านสุขภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของภูมิภาค
ส่วนธุรกิจพลังงานยังคงต้องดูโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมที่จะเข้ามาเป็นส่วนเสริมรายได้ให้กับธุรกิจ
ขณะที่ธุรกิจหลัก คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ในอนาคตจะมีการสัดส่วนรายได้ลดลง ซึ่งบริษัทจะไม่มีการซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม และจะทยอยขายที่ดินหรือยูนิตที่อยู่อาศัยบางส่วนออกไป เพื่อนำเงินเข้ามาต่อยอดในการลงทุนธุรกิจใหม่ทั้ง 3 ประเภท เพื่อทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการแข่งขันที่สูงและเผชิญกับความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา