ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.00 อ่อนค่าตามภูมิภาค จับตาประชุมเฟด กังวลขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าคาด
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า
เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อน ค่าเล็กน้อยจากปิดตลาดเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 32.97 บาท/ดอลลาร์ หลังนักลงทุนปิดรับความเสี่ยงแล้วหันมาถือครองเงินดอลลาร์ และเยน เนื่องจากกังวลธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
"บาทอ่อนค่าเล็กน้อยจากเย็นวันศุกร์ ตามทิศทางตลาดโลก โดยเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินภูมิภาค หลังนักลงทุนเทขาย สินทรัพย์เสี่ยงแล้วมาถือดอลลาร์และเยนแทน เนื่องจากกังวลเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าคาด" นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.90 - 33.15 บาท/ดอลลาร์
THAI BAHT FIX 3M (21 ม.ค.) อยู่ที่ระดับ 0.37612% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.36678%
ปัจจัยสำคัญ
เงินเยนอยู่ที่ระดับ 113.79 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ระดับ 113.96/97 เยน/ดอลลาร์
เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1335 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 1.1340/44 ดอลลาร์/ยูโร
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.012 บาท/
ดอลลาร์
สภาดิจิทัล นักลงทุน สตาร์ตอัพไทย ลิงโลด คิกออฟยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหุ้น หรือ Capital Gains Tax
สำหรับการลงทุนในสตาร์ตอัพไทย คาดบังคับใช้ภายในไตรมาสแรก มั่นใจสร้างสตาร์ตอัพไทยใหม่ถึง 5,000 รายภายในปีนี้
รายงานข่าว ระบุว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้สรุปตัวเลขงบประมาณที่จะใช้สำหรับโครงการคนละครึ่ง เฟส 4
แล้ว โดยจะเสนอ ครม.อนุมัติวงเงิน 43,500 ล้านบาท สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 4 27-28 ล้านคน คาดหวังว่า
จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรอบนี้ไม่น้อยกว่า 87,000 ล้านบาท จะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลิตภัณฑ์มวลรวม
ในประเทศ (จีดีพี) ราว 0.24%
รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังยังไม่ได้หารือกับกระทรวงพลังงาน เกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษี
น้ำมันทั้งน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังสามารถบริหารจัดการดูแลราคาน้ำมันได้
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 25-26 ม.ค.นี้ เพื่อดูความชัดเจนว่า เฟดมีแผนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใน
เดือนต่อๆ ไปหรือไม่ หลังข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อสัปดาห์ที่แล้วบ่งชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค.พุ่งขึ้นรายปีมากที่สุดในรอบ
เกือบ 40 ปี
นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจกดดันให้ธนาคาร
กลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ โดยระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะส่ง
ผลให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.
ค. ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัด
จาก PCE และ Core PCE Price Index เดือนธ.ค. ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. จีดีพีไตรมาส 4/64 และจำนวนผู้ขอรับ
สวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. ของจีนด้วยเช่นกัน