ผู้เขียน หัวข้อ: NUSA ยันเพิ่มทุนแลกหุ้น WEH ไม่ใช่ Backdoor  (อ่าน 342 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ luktan1479

  • *
  • กระทู้: 1,132
  • Popular Vote : 0
NUSA ยันเพิ่มทุนแลกหุ้น WEH ไม่ใช่ Backdoor
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2022, 01:57:38 am »
NUSA ยันเพิ่มทุนแลกหุ้น WEH ไม่ใช่ Backdoor,เล็งร่วมทุนพันธมิตรขยายพลังงาน

นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) เปิดเผยว่า การออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) เพื่อแลกหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) กับผู้ถือหุ้นรายย่อย เพื่อเข้าไปถือหุ้นใน WEH สัดส่วนราว 8% ถือเป็นโอกาสในการลงทุน เนื่องจากบริษัทมองเห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีตามผลประกอบการของ WEH ที่เติบโต และมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 64 WEH จ่ายเงินปันผลในอัตรา 41 บาท/หุ้น ทำให้บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้น 8% ราว 350 ล้านบาท/ปี

"แม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือของ WEH แต่ WEH ยังดำเนินงานตามปกติ และมีผลตอบแทนที่ดี เดิมเราเคยเข้าไปลงทุนใน WEH ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นมีเงื่อนไขว่าจะมีการผลักดัน WEH เข้าตลาด แต่เมื่อไม่สามารถเข้าตลาดได้ตามกำหนด เราก็ขายหุ้น WEH คืนให้กับผู้ถือหุ้นของ WEH ไป

และตอนนี้เราเห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีของWEH จากการจ่ายเงินปันผล และผลงานของ WEH ที่ดีต่อเนื่อง รวมถึงเรามองว่าธุรกิจพลังงานเป็นโอกาสที่น่าสนใจธุรกิจหนึ่ง ทำให้เราเข้าไปลงทุน แต่ยืนยันว่าการที่เพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยของ WEH ไม่ได้เป็นการเข้ามา Backdoor ณุศาฯและหากมีโอกาสเข้าไปถือหุ้น WEH เพิ่มได้เราก็สนใจ แต่คงเข้าไปถือได้ในสัดส่วนเพิ่มขึ้นไม่ต่างจากที่ถือมาก โดยการอนุมัติการลงทุนใน WEH รอการประชุมผู้ถือหุ้นในต้นเดือน มี.ค.นี้" นายวิษณุ กล่าว

นอกจากการเข้าถือหุ้นใน WEH แล้ว บริษัทยังศึกษาการลงทุนในธุรกิจพลังงานเพิ่มเติม อาจจะเป็นรูปแบบการลงทุนเองหรือร่วมทุนกับพันธมิตร โดยมีความสนใจในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และลมในอาเซียน ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/65

นายวิษณุ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้เดินหน้าจัดโครงสร้างธุรกิจให้เป็นไปในลักษณะโฮลดิ้ง โดยจะปรับลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลง ตามเป้าหมายจะลดเหลือไม่เกิน 30% ในปี 66 จากปี 65 อยู่ที่ 51% ขณะที่ธุรกิจสุขภาพจะเข้ามาสร้างรายได้หลักแทน เพราะเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรที่ดีให้กับบริษัท และบริษัทยังมีแผนนำ บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 65 จะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ ซึ่งมีการขายที่ดินและเงินลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกไป ทำให้บริษัทได้เงินกลับมาสนับสนุนการฟื้นธุรกิจ และเดินหน้าสร้างการเติบโตของบริษัทด้วยการลงทุนธุรกิจด้านสุขภาพ โดยเฉพาะจาก เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหาร พานาซี เมดิคอล เซ็นเตอร์ และ โรงพยาบาล พานาซี

นายวิษณุ กล่าวว่า ในปีนี้ NUSA คาดว่าธุรกิจด้านสุขภาพจะทำรายได้ราว 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำรายได้ 800 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ โดยเฉพาะชุดตรวจ ATK หลังจาก 4 เดือนที่ผ่านมาได้เริ่มต้นขายชุดตรวจ ATK ที่สั่งนำเข้าแบบ OEM สร้างยอดขายแล้วราว 1 พันล้านบาท และทิศทางยังจะเติบโตต่อเนื่อง เพราะ ATK กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดยาสามัญประจำบ้านไปแล้ว

ประกอบกับ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตจำหน่ายชุดตรวจ ATK แบบอมในปาก กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลการพิจารณา รวมถึงจะมีรายได้เข้ามาจากโรงพยาบาลพานาซีในเยอรมันเข้ามาเสริม หลังจากมีการควบรวมธุรกิจโรงพยาบาลพานาซีเข้ามา

ส่วนธุรกิจในกลุ่มเกษตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปลูกกัญชง และผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชงเข้ามาเสริม ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/65 จะเริ่มเห็นความชัดเจนของการเดินหน้าธุรกิจที่เกี่นวข้องกับกัญชงเชิงพาณิชย์ออกมา และคาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาในบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น และตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 65 ไว้ที่ 3 พันล้านบาท

บริษัทคาดว่าจะเริ่มมีการขายต้นกัญชงในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 2/65 หลังจากได้ทดลองทำการวิจัยปลูกมาระยะหนึ่งในโครงการ Legend Siam และจะมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากกัญชงออกมาจำหน่ายราว 70 SKU ที่จะทยอยออกมาจำหน่ายตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/65 รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์ม MORHELLO ที่จะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือน มี.ค.65 ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่จะเข้ามาเป็นช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท รวมถึงการขายคอร์สอบรมทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์

ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจะมีการพัฒนาบางโครงการที่สามารถนำมาต่อยอดกับธุรกิจท่องเที่ยวและสุขภาพ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มืการขายที่ดินและหุ้นใน Legend Siam พัทยา มูลค่า 1.3 พันล้านบาทให้กับนักลงทุนจีนไปแล้ว รวมถึงขายที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ออกไปกว่า 100 ล้านบาท คาดว่าทั้ง 2 รายการจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงปลายไตรมาส 1/65 หรือต้นไตรมาส 2/65 ซึ่งจะช่วยให้ผลดำเนินงานกลับมามีกำไรได้ และปีนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะทำรายได้ราว 1.7 พันล้านบาท จากการโอนโครงการที่อยู่อาศัยที่เหลือขายเข้ามา จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่บริษัทมีอยู่ราว 485 ล้านบาท

นายวิษณุ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดหวังว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่กว่า 3 พันล้านบาทได้ทั้งหมดภายในปี 66 หลังจากนำเงินจากการขาย Legend Siam มาลดขาดทุนสะสมลงได้เกือบครึ่งหนึ่ง แต่จะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้เมื่อใดนั้นคงต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทไม่ได้มีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมาถึง 6-7 ปี