นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว รายงานว่า ในปี 2564 คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้
คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวน 570 ราย เงินลงทุนรวม 82,501 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย 5,450 คน
โดยต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย อันดับที่ 1 ญี่ปุ่น 163 ราย 28.6% เงินลงทุน 23,260 ล้านบาท อันดับที่ 2 สหรัฐอเมริกา 88 ราย 15.4% เงินลงทุน 5,948 ล้านบาท อันดับที่ 3 สิงคโปร์ 86 ราย 15.1% เงินลงทุน 10,530 ล้านบาท อันดับที่ 4 ฮ่องกง 41 ราย 7.2% เงินลงทุน 19,555 ล้านบาท อันดับที่ 5 จีน 29 ราย 5.1% เงินลงทุน 3,748 ล้านบาท
อันดับที่ 6 เนเธอร์แลนด์ 18 ราย 3.2% เงินลงทุน 3,063 ล้านบาท อันดับที่ 7 เยอรมนี 16 ราย 2.8% เงินลงทุน 695 ล้านบาท อันดับที่ 8 ฝรั่งเศส 15 ราย 2.6% เงินลงทุน 1,127 ล้านบาท อันดับที่ 9 เกาหลี 14 ราย 2.5% เงินลงทุน 847 ล้านบาท อันดับที่ 10 สหราชอาณาจักร 9 ราย 1.55) เงินลงทุน 636 ล้านบาท และ ประเทศอื่น 91 ราย 16.0% เงินลงทุน 13,093 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตส่วนใหญ่มีความสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) รวมถึงสนับสนุนการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต ได้แก่
ธุรกกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบระบบ รวมถึง การบริหารจัดการโครงการ การฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำที่เกี่ยวข้องกับระบบต่างๆ สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม วางระบบ และทดสอบเครื่องจักร/อุปกรณ์สำหรับโครงการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าอัจฉริยะระหว่างประเทศ
ธุรกิจบริการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล
ธุรกิจบริการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Center: IBC) ให้แก่บริษัทในเครือในต่างประเทศ
ธุรกิจบริการควบคุมการผลิต การบรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บ การตรวจสอบและการรับรองคุณภาพของเคมีภัณฑ์ และการบำบัดน้ำเสีย
ธุรกิจบริการให้ใช้สิทธิและให้ใช้ช่วงสิทธิในซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับกระบวนการทางการแพทย์
ธุรกิจบริการติดตั้ง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
ธุรกิจบริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและบริการให้ใช้ระบบบริหารจัดการในสถานีดังกล่าว
ส่วนในปี 2565 คาดว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยผ่อนคลายให้มีการเปิดประเทศ และเพิ่มการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ผนวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ผ่อนคลายขึ้น โดยเฉพาะตลาดหลักทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป ที่เศรษฐกิจน่าจะเริ่มฟื้นตัวหลังการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเห็นสัญญาณจากการลงทุนของบริษัทไทยและต่างชาติที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงแนวโน้มการลงทุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทไทย ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น และถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น