สุพัฒนพงษ์ เชื่อสินค้า-
น้ำมันแพงไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล มองศก.เดินถูกทาง
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ยืนยันว่า ปัญหาราคาสินค้าและน้ำมันสูงขึ้นไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล เนื่องจากเป็นปัจจัยภายนอกที่เกิดกับทุกประเทศไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายใน จึงอยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลได้ทำอย่างดีที่สุดที่จะประคับประคองราคาทั้งสองอย่าง
สำหรับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มีปัจจัยมาจากตลาดโลก และจากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยเดิมคือ ค่าเงินบาทอ่อนค่า และปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศในแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นปัญหารัสเซียกับยูเครนที่ยังมีความตึงเครียดอยู่ โดยมีสหรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างชัดเจน ประกอบกับ สหรัฐประสบภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างหนักก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
ดังนั้น ประเทศไทยต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นหากคลี่คลายก็จะส่งผลให้ราคาพลังงานอ่อนตัวลงได้ เบื้องต้นเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องถาวร หากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงกลับมาปกติ ทุกอย่างก็จะกลับมาอยู่ในกรอบที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ โดยยืนยันว่ารัฐบาลมีแผนรองรับไว้แล้ว โดยเฉพาะมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร รวมทั้งติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ ขณะที่พบว่าปัจจุบันราคาสินค้าที่มีแนวโน้มลดลงแล้ว
รมว.พลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลมีความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตรึงราคาน้ำมัน แต่เนื่องจากราคาน้ำมันยังเป็นเป็นไปตามตลาดเสรี ดังนั้นมาตรการล่าสุดจึงได้ลดสัดส่วนน้ำมันชีวภาพที่ผสมในไบโอดีเซลเพื่อทำให้ต้นทุนลดลงก็จะช่วยลดราคาน้ำมันดีเซลฃลงได้ พร้อมระบุว่า การแก้ปัญหาครั้งนี้ยังอยู่ในวงเงินของกองทุนน้ำมัน
ส่วนกระแสข่าวการยุบสภาฯในช่วงนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่นั้น นายสุพัฒนพงษ์ มองว่า ต้องรอดูผลที่จะเกิดขึ้น แต่จากการติดตามผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยที่จัดทำโดย JETRO พบว่ามีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีนี้เป็นบวก และจะเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม ไปเท่ากับ 7-8 ปีก่อน ซึ่งส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจอยู่ในจุดที่สูงสุดในรอบ 7 ปี ดังนั้นจึงคิดว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่สร้างความมั่นใจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามาจากปัจจัยภายนอก และจากการพูดคุยกับนักลงทุนหลายประเทศก็มีความพอใจ และมองว่าไทยเดินมาถูกทาง
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า บ้านเมืองเพิ่งผ่านวิกฤติครั้งสำคัญ และยังไม่หมดไป ดังนั้นจึงต้องประคับประคองสถานการณ์ให้มีโอกาสและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะนี้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเปิดประเทศด้วยความระมัดระวัง เพื่อเพิ่มรายได้กลับเข้ามาสู่ประเทศไทยให้กลับเข้าสู่สภาพปกติเร็วที่สุด และเสริมการลงทุนให้มากที่สุด หวังให้คนไทยกลับเข้ามามีชีวิตปกติสุขและดีกว่าเดิม นี่คือความตั้งใจของรัฐบาล แต่เมื่อยังไม่พ้นวิกฤติก็ต้องมีมาตรการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ
ส่วนเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ยังไม่ได้มีข้อสรุปใดๆ ทั้งสิ้น