ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 21.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,205.62 จุด บวก 114.49 จุด หรือ 0.33% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลบ 0.07% และดัชนี Nasdaq ลบ 0.07%
ราคาหุ้นของบริษัทฮาร์เลย์-เดวิดสัน อิงค์ ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 8% ขานรับกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/64
ส่วนราคาหุ้นของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลง 4% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/64
อย่างไรก็ดี ไฟเซอร์คาดการณ์รายได้สูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ที่ระดับ 98,000-102,000 ล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการจำหน่ายยาและวัคซีนต้านโควิด-19
ทั้งนี้ ไฟเซอร์คาดการณ์ยอดจำหน่ายวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ หรือราว 1 ล้านล้านบาท และยอดจำหน่ายยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยารักษาโควิด-19 จำนวน 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 726,000 ล้านบาท
บริษัทจำนวน 300 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 4 แล้ว โดย 77% ในจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ 75% มีรายได้สูงกว่าคาด
นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมี.ค. โดยคาดว่าสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปีในสัปดาห์นี้ หลังจากที่เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาเชื่อว่าเฟดยังคงสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ย "ได้อีกมาก" โดยไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 467,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 150,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 647,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 249,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 510,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 199,000 ตำแหน่ง
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันที่ 10 ก.พ. ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ก่อนที่เฟดจะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มี.ค.
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนม.ค.ในวันพฤหัสบดี
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 7.2% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2525
ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2525 จากระดับ 6.8% ในเดือนพ.ย.
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 35% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมี.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 14%
ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกาออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 7 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25%
หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่แบงก์ ออฟ อเมริกาคาดการณ์ หมายความว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทั้ง 7 ครั้งที่เหลือในปีนี้ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมี.ค.
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดพุ่งแตะ 1.75-2.00% ในปลายปีนี้ จากปัจจุบันที่ระดับ 0.00-0.25%
นอกจากนี้ แบงก์ ออฟ อเมริกายังคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 จนแตะระดับ 2.75-3.00% ก่อนที่จะมีการทบทวนนโยบายการเงิน
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 8.07 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.30 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 7.93 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย.
ทั้งนี้ การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.6% สู่ระดับ 3.089 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ระดับ 2.281 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ สหรัฐขาดดุลการค้าพุ่งขึ้น 27.0% สู่ระดับ 8.591 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าระดับ 6.767 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2563