PEACE
ปิดเทรดวันแรกที่ 5.60 บาท เพิ่มขึ้น 40.70% หรือ 1.62 บาท จากราคา IPO ที่ 3.98 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,156.24 ล้านบาท จากราคาเปิด 5.50 บาท ราคาสูงสุด 6.15 บาท ราคาต่ำสุด 5.20 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการของ บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง (PEACE) จะยังคงเติบโตสูงอยู่ที่ 2-Year (64-66) Cagr อยู่ที่ 29% จากการที่บริษัทจะมีแผนเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คาดว่าบริษัทจะยังมีความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) ได้อยู่ที่ 37-38% ต่อปี นอกจากนี้จากการที่บริษัทมีการเติบโตของรายได้สูงกว่า 20% ต่อปีในช่วง 64-66 จะส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้จะค่อยๆ ลดลงจาก 17.4% ในปี 64 มาอยู่ที่ 16.8%, 15.5% และ 14.4% ตามลำดับ
ทิสโก้ คาดว่า PEACE จะมีรายได้อยู่ที่ 1.12 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% YoY ในปี 64 จากการรับรู้ยอดขายโครงการในมือ รวมถึง backlog ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 37.9% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ 16.8% คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 188 ล้านบาท (+40.3% YoY) ในปี 64
สำหรับผลประกอบการในปี 65 คาดบริษัทจะมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงถึง 38.7% YoY จากการรับรู้ยอดขายจากโครงการในมือทั้งโครงการที่เหลือขายและโครงการที่เปิดตัวใหม่ตั้งแต่ปี 64 คาดอัตรากำไรขั้นต้น 37.3% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ที่ 15.5% คาดกำไรสุทธิ 268 ล้านบาท (+42.7% YoY) ในปี 65
ทั้งนี้ ได้มูลค่าที่เหมาะสมสำหรับ PEACE อยู่ที่ 4.80 บาท คิดจาก PER 65F ที่ 7.5 เท่า ซึ่งคิดจากค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 5 ปีของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ความเสี่ยงได้แก่การแข่งขันสูง ความไม่แน่นอนของต้นทุนการก่อสร้าง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย
PEACE ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อขาย แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ Cordiz, The Glamor, Cher, Cherene และ CHEREA VICINITY ณ 25 พ.ย. 2021 บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการขาย 7 โครงการ และโครงการในอนาคต จำนวน 3 โครงการ