ผู้เขียน หัวข้อ: เชียงใหม่ ประกาศสร้าง Blockchain City แห่งแรกของไทย-อาเซียน  (อ่าน 330 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ luktan1479

  • *
  • กระทู้: 1,132
  • Popular Vote : 0
เชียงใหม่ ประกาศสร้าง Blockchain City แห่งแรกของไทย-อาเซียน

หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมประกาศเปิดตัวโปรเจ็คต์ "Chiangmai Crypto City" (CCC) แห่งแรกของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โปรเจกต์ "Chiangmai Crypto City" หรือ "Blockchain City" เป็น Decentralized Open Source Platform บนระบบบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract ) ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกอนาคต โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจมาทำธุรกิจร่วมกัน หรือ ผู้ที่สนใจอยากจะเข้ามาร่วมพัฒนาชุมชนก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน

ทั้งนี้ พญ. นวพร นะลิตา Project Manager ได้ให้ข้อมูลใน หัวข้อ สร้างเมือง สร้างรายได้ สร้างได้ที่ Metaverse! Crypto City คืออะไร และจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเมืองต่าง ๆ ได้อย่างไร? Experience Center by Zipmex ว่า

"โปรเจ็คต์ Chiangmai Crypto City (CCC) จะเป็น Social Enterprise Platform ที่ยินดีต้อนรับผู้ที่ประสงค์จะเข้ามาร่วมพัฒนาองค์กรและชุมชน โดยไม่จำกัดว่าเป็นแค่คนในจังหวัดเชียงใหม่ หรือ คนไทย รวมไปถึงไม่จำกัดเรื่องอายุ อาชีพ และ ระยะเวลาการเข้าร่วม สิ่งที่น่าจับตามองคือ หากโปรเจกต์นี้ประสบความสำเร็จจริง ก็จะสามารถช่วยบ่มเพาะให้เกิดบริษัท Unicorn ใหม่ ๆ ขึ้นมา และสามารถช่วยสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจไทยผ่านโลกธุรกิจยุคดิจิทัลได้"
กลุ่มผู้เปิดตัวโปรเจ็คต์ CCC ระบุว่า ปัจจุบันมีเมืองในต่างประเทศที่มีการปรับตัวเอาระบบบล็อกเชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเมือง หรือที่เรียกว่า "Blockchain Infrastructure" เช่น เมือง New York, Miami, Reno หรือ Wyoming ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ "Zug" เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาปที่สวยงามและเป็นหนึ่งในเมืองที่มีรายได้สูงสุดในสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย

เมื่อภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันผลักดันให้มีกฎหมายข้อบังคับ การควบคุมดูแล ที่เปิดโอกาสต่อธุรกิจในรูปแบบบล็อกเชน และส่งเสริมด้านงบประมาณและบุคลากรต่อภาคประชาชนและเอกชนมากขึ้น ส่งผลทำให้เมืองเล็ก ๆ อย่าง "Zug" นั้นมีบริบทที่เอื้อต่อธุรกิจ "Start-Up Technology" โดยมูลค่าการตลาดในปัจจุบันของเมือง Zug มีอยู่ราว ๆ 20 ล้านล้านบาท เทียบเท่างบประมาณประเทศไทยก็ราว ๆ 6 ปีเศษรวมกัน