PTC ปิดเช้า 5.35 บาท สูงกว่า IPO 52.86% ผู้บริหารคาด
ยอดจ่ายน้ำมันปีนี้เพิ่มขึ้นรับศก.ฟื้น
หุ้น PTC ปิดเช้าที่ 5.35 บาท ปรับขึ้น 52.86% หรือ 1.85 บาท จากราคา IPO ที่ 3.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,119.24 ล้านบาท จากราคาเปิด 6.75 บาท ราคาสูงสุด 6.85 บาท ราคาต่ำสุด 4.98 บาท
นายวีรวัฒน์ บูรพพัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น (PTC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงปีนี้จะเติบโตกว่าปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ช่วงกลางปี ทำให้ยอดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตกลงไปค่อนข้างมาก แต่ปีนี้เศรษฐกิจเริ่มกลับมามีการเคลื่อนไหวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ก็น่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัท ก็มีแผนขยายฐานกลุ่มลูกค้าจากผู้ค้าน้ำมันรายอื่นๆ ด้วย จากปัจจุบันมีเพียงรายเดียว คือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)
อีกทั้งภายหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai บริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำอย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาพลังงานไฟฟ้าทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานจากแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าชุมชน หรือโรงไฟฟ้าจากขยะ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมก่อสร้างจุดรับน้ำมันทางรถไฟที่คลังศรีสะเกษ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการแก่ลูกค้า ในด้านการเพิ่มช่องทางการขนส่งน้ำมัน อีกทั้งช่วยลดต้นทุนการขนส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทฯ ให้บริการการรับน้ำมันทางรถบรรทุกเพียงทางเดียว จึงเตรียมการหาช่องทางการรับน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยบริษัทได้ทำการศึกษาเส้นทางการขนส่ง ต้นทุนการขนส่งแต่ละประเภท ความปลอดภัยในการขนส่ง ข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งน้ำมันของลูกค้า ประกอบกับการพิจารณาและคำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุน รวมถึงระดับความเสี่ยงในการเลือกที่จะลงทุน
นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า จากนโยบายแผนพลังงานของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานสำหรับการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2558-2579 (Oil Plan) ได้ประมาณการความต้องการเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งประเภทเบนซินและดีเซลที่จะเพิ่มขึ้นในกรณีที่ทุกอย่างเป็นปกติ (Business as Usual: BAU) จาก 32,207.9 ล้านลิตรในปี 69 สู่ 45,561.00 ล้านลิตรในปี 79 เติบโต 41.02% หรือมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 3.5%
เมื่อประเมินปริมาณการใช้น้ำมันทั้งสองชนิดในภาคขนส่งจริงจากปี 58 ที่ 24,054 ล้านลิตร อัตราการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันไปถึงปี 69 ตามแผนในกรณี BAU จะเพิ่มขึ้นที่ 34.32% คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 2.99% ต่อปี โดยปี 63 ไทยมีการใช้น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในภาคการขนส่ง 27,355.38 ล้านลิตรต่อปี
ส่วนในอนาคตของธุรกิจน้ำมัน แม้มีแนวโน้มว่าจะอาจจะมีการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปในรูปแบบของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขจำนวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ณ สิ้นเดือน มิ.ย.64 มีอยู่เพียง 31,277 คัน คิดเป็นสัดส่วน 0.1654% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมด รวมถึงยังมีหลายปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อการใช้ ดังนั้นมั่นใจว่าน้ำมันยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะแหล่งพลังงานหลักในการขับเคลื่อนภาคการขนส่งของประเทศเช่นที่ผ่านมา
นางจารีรัตน์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันซ่า ในฐานะผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า ด้วยศักยภาพเติบโตของ PTC ที่อยู่ในธุรกิจคลังน้ำมันสำหรับรับ เก็บ ผสมและจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการให้บริการของอยู่ภายใต้การนำเสนอแนวคิดของการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้แก่ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในประเทศ โดย PTC จะทำหน้าที่เป็นผู้สำรองน้ำมันและจ่ายน้ำมันให้แก่สถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ใกล้เคียง ส่งผลในการช่วยลดภาระแก่ผู้ค้าน้ำมันในการลงทุนสำหรับการสร้างคลังน้ำมันของตัวเอง ประกอบกับทำเลที่ตั้งคลังน้ำมันที่อยู่ตามจุดยุทธศาสตร์การขนส่ง ถือเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกการขนส่งรวมถึงสำรองน้ำมันของสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรในระบบห่วงโซ่อุปทานพลังงานของประเทศไทยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการที่ PTC มีความสัมพันธ์อันดีและสามารถสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์โดยการทำงานร่วมกันกับทั้งลูกค้า คู่ค้า รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตร่วมกันจากการแบ่งปันความรู้ความสามารถ การแบ่งและบริหารความเสี่ยงต่อองค์กร และนวัตกรรมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า PTC เรียกได้ว่าเป็นหุ้นธุรกิจให้บริการคลังน้ำมันเชื้อเพลิงตัวแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยจุดแข็งจากประสบการณ์ด้านการประกอบธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและรถขนส่งน้ำมันมากว่า 20 ปี ทำให้ผู้บริหารของ PTC มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการสายโซ่อุปทานของผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทยเป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถกำหนดที่ตั้งในการก่อสร้างคลังน้ำมันเพื่อเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการกระจายน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันสู่สถานบริการและผู้ใช้งาน ซึ่งพื้นที่ให้บริการปัจจุบันอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนปริมาณจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซินและดีเซลเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย รองจากเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นเส้นทางเชื่อมโยงสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้ ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านระบบการขนส่งพลังงาน ให้ทุกพื้นที่มีโอกาสเข้าถึงพลังงานอย่างเท่าเทียมกัน