ผู้เขียน หัวข้อ: ส.ผลิตอาหารสัตว์ โอดราคาวัตถุดิบพุ่งต่อเนื่อง แนะรัฐเร่งแก้ก่อนขาดแคลน  (อ่าน 365 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ fairya

  • *
  • กระทู้: 1,190
  • Popular Vote : 0
ส.ผลิตอาหารสัตว์ โอดราคาวัตถุดิบพุ่งต่อเนื่อง แนะรัฐเร่งแก้ก่อนขาดแคลน

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์กำลังพุ่งสูงขึ้น ในขณะที่อาหารสัตว์ และสินค้าหลายรายการถูกตรึงราคา โดยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ วันนี้ (14 ก.พ. 65) อยู่ที่ 11 บาท/กก. และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าจะสูงไปจนถึงเดือนเม.ย. 65 ซึ่งจะมีผลผลิตข้าวโพดหลังนาออกสู่ตลาด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ราคาข้าวโพดจะสูงถึง 12 บาท/กก. ในเร็วๆ นี้

ขณะที่ข้าวสาลี ราคาทะยานพุ่งสูงถึง 12 บาท/กก. จาก 8.91 บาท/กก. เป็นผลจากการเกิดสงครามในประเทศรัสเซีย กากถั่วเหลืองนำเข้าราคาขยับตัวสูงแตะ 20 บาท/กก. จาก 16.51 บาท/กก. ส่วนกากถั่วเหลืองที่ซื้อจากโรงสกัดน้ำมันในประเทศ อยู่ที่ 21 บาท/กก.

นอกจากนี้ วัตถุดิบอื่นไม่ว่าจะเป็นมันสำปะหลัง ข้าวสาลี แป้งสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมันปาลม์ กาก DDGS (Dried distillers grians with solubles) หรือผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากขบวนการผลิตเอทานอลด้วยข้าวโพด ซึ่งเป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ ก็ปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่ถ่านหินซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตอาหารสัตว์ก็ปรับราคาสูงขึ้นเป็น 2 เท่า

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.สถานการณ์ราคาวัตถุดิบในตลาดโลก รวมถึงค่าบริหารและขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และ 2. นโยบายภาครัฐที่ต้องการดูแลราคาพืชอาหารสัตว์ในประเทศ โดยมีการใช้มาตรการที่บิดเบือนกลไกตลาด อาทิ มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี โดยจะต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ 3 ส่วนก่อนนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน การจำกัดช่วงเวลานำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมาตรการด้านภาษี อาทิ ภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% ซึ่งมาตรการเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะมาตรการประกันรายได้เกษตรกรช่วยดูแลเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

"สมาคมฯ ได้นำเสนอข้อมูลแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบแล้ว พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขที่กระทรวงทำได้ เช่น การยกเลิกมาตรการในหลายด้าน อาทิ ขอให้พิจารณายกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2%, มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3:1 ส่วน และเปิดให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO), เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ยกเลิกโควต้าภาษีและค่าธรรมเนียม ให้สามารถนำเข้ามาได้ในปริมาณขาดแคลน ในปี 65 เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีความคืบหน้าใด" นายพรศิลป์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อปี 52 ราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงวัตถุดิบตัวอื่นๆ ไม่สูงเท่าปัจจุบัน แต่รัฐบาลในขณะนั้นได้พิจารณาปรับลดอัตราภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจาก 4% เหลือ 2% ซึ่งช่วยบรรเทาต้นทุนได้ส่วนหนึ่ง

ดังนั้น ขณะที่ราคาวัตถุดิบขึ้นสูง สมาคมฯ จึงขอวอนรัฐพิจารณามาตรการดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนของผู้ผลิตอาหารสัตว์ เพราะมีสมาชิกหลายรายทนแบกรับต้นทุนต่อไม่ไหว และบางรายมีการปรับลดกำลังการผลิตลง เพื่อลดภาวะขายขาดทุน

"สถานการณ์นี้ตอกย้ำว่า ไม่มีใครอยู่รอด หากถูกตรึงราคาขายปลายทาง แต่ปล่อยให้ราคาวัตถุดิบต้นทางขึ้นโดยไม่มีการกำกับดูแล และหากไม่มีทางออกในเร็ววันนี้ ไทยอาจจะพบกับวิกฤตขาดแคลนอาหารสัตว์ได้" นายพรศิลป์ กล่าว