SIRI เผย
นักลงทุนแห่จองหุ้นกู้ Zero Dropout หมดเกลี้ยง 100 ลบ.ใน 2 นาที
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นกู้แสนสิริเพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมทางการศึกษาโดยบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ภายใต้โครงการ Zero Dropout อายุ 3 ปี เต็มมูลค่าเสนอขาย 100 ล้านบาททันทีภายใน 2 นาทีที่เปิดจองซื้อผ่าน SCB Easy App เวลา 8.30 น. ของวันที่ 15 ก.พ. 65
ทั้งนี้ เงินระดมทุน 100 ล้านบาท จะถูกโอนเข้าบัญชี "บมจ.แสนสิริ เพื่อสนับสนุนโครงการร่วมกับ กสศ." ทันที หลังเต็มมูลค่าเสนอขาย โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นผู้ดูแลเงินระดมทุนผ่านบัญชีผลประโยชน์ของคู่สัญญา (Escrow Account) ตอกย้ำความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และ กสศ. จะจัดทำแผนรายปีและเบิกค่าใช้จ่าย เพื่อใช้ในโครงการ Zero Dropout ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง ในการวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน นำร่องที่จังหวัดราชบุรี ที่มีเด็กเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาอยู่ประมาณ 10,000 คน ซึ่งเหมาะสมกับจำนวนเงินระดมทุน 100 ล้านบาท รวมทั้งยังมีปัญหาที่หลากหลายด้านความเหลื่อมล้ำในการศึกษา จากภูมิศาสตร์จังหวัดติดชายแดน ที่มีสภาพทั้งแบบชุมชนและเมือง ขณะที่ยังเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ ที่ทำให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมช่วยเหลือเด็กได้โดยง่าย รวมถึงที่สำคัญคือ แสนสิริไม่มีการพัฒนาโครงการและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้มีความโปร่งใส
สำหรับการบริหารจัดการเงินระดมทุน 100 ล้านบาทจากหุ้นกู้แสนสิริ จะถูกแบ่งเป็น 80% ใช้ในการสนับสนุนแก้ปัญหาเด็ก อาทิ ค่าเดินทางมาโรงเรียน ค่าอาหารเช้า อาสาสมัครที่ช่วยดูแล และพัฒนาระบบการศึกษาผ่านครูและโรงเรียน และอีก 20% ใช้ในการสร้างระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนในด้านการวิจัยวิชาการ และการบริการจัดการ อาทิ การสำรวจข้อมูล การพัฒนาแอปพลิเคชัน และการพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพ เป็นต้น
นอกจากนี้แสนสิริ จะรายงานผลการดำเนินงานของ กสศ. ในการผลักดันให้เด็กหลุดจากการศึกษาเป็น "ศูนย์" ในทุกไตรมาส รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงาน ลูกบ้าน ลูกค้า พันธมิตร และสังคมตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการออกหุ้นกู้ ที่ต้องการสร้างแรงกระเพื่อมของการรับรู้ และการมีส่วนร่วมในสังคมว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้
เป้าหมายของโครงการ Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน" คือการวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน ระยะยาว 3 ปี ครอบคลุมการพัฒนาในทุกด้าน ทั้งการเข้าถึง คุณภาพการศึกษา และความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายย่อย คือ เด็กต้องอยู่ในระบบการศึกษาในช่วงวัยภาคบังคับ (ป.1-ม.3) ภายใน 3 ปี และเด็กที่ถึงเกณฑ์ต้องพร้อมเข้าเรียน ป.1 ได้ 100% ภายใน 3 ปี
แผนงานจะเริ่มตั้งแต่ปี 65 นำร่องใน 3 อำเภอ ได้แก่ สวนผึ้ง จอมบึง และบ้านคา จากนั้นในปี 66 จะขยายไปอีก 4 อำเภอ ครอบคลุมทั้งเด็กนอกระบบและเด็กปฐมวัย และในปี 67 ขยายงานไปยังอีก 3 อำเภอ เพื่อช่วยเหลือทั้งเด็กปฐมวัยและเด็กนอกระบบกว่า 11,200 คนที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาในจังหวัดราชบุรีให้เป็น "ศูนย์" รวมทั้งสนับสนุนทุนทรัพย์ ให้เด็กได้เตรียมความพร้อมก่อนเข้าระบบการศึกษา (อัตรา 4,000 บาทต่อคน) จากนั้นจึงส่งต่อสู่กลไกของจังหวัดสานต่อการทำงานในระดับพื้นที่ ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป