เอสซีจี เคมิคอลส์
ออกหุ้นกู้ดอกเบี้ย 2.75% ขายผถห.กู้ SCC-SCGP,ทั่วไป มี.ค.
นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกมูลค่าไม่เกิน 30,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี ดอกเบี้ย 2.75% ต่อปี เพื่อนำมาชำระคืนเงินกู้จาก บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อที่ระดับ A+(tha) จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่ดำเนินงานอย่างยั่งยืน
การเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวจะแบ่งเป็น 3 ช่วง
ช่วงที่ 1 ในวันที่ 1-7 มีนาคม 2565 จะให้สิทธิจองซื้อกับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ครั้งที่ 1/2561 (SCC224A) ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 เมษายน 2565 ในอัตราส่วน 1 หุ้นกู้ SCC224A ต่อ 1 หุ้นกู้ใหม่ SCGC
ช่วงที่ 2 ในวันที่ 25-29 มีนาคม 2565 จะให้สิทธิจองซื้อกับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้ของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือผู้ถือหุ้นกู้ของบมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ทุกรุ่น ในสัดส่วน 80% ของหุ้นกู้ที่เหลือจากการจองซื้อช่วงที่ 1 โดยจองซื้อขั้นต่ำ 1,000,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท
ช่วงที่ 3 ในวันที่ 30-31 มีนาคม 2565 จะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ในสัดส่วน 20% ของหุ้นกู้ที่เหลือจากการจองซื้อช่วงที่ 1 และรวมกับหุ้นกู้ส่วนที่เหลือจากการจัดสรรจากช่วงที่ 2 (ถ้ามี) โดยจองซื้อขั้นต่ำ 1,000,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถจองซื้อหุ้นกู้ SCGC ได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 5 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ผ่านช่องทางออนไลน์และที่สาขาของธนาคาร โดยดาวน์โหลดใบจองซื้อได้ที่
www.scgchemicals.comทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ SCGC ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถปรับตัวท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยมีรายได้จากการขาย 238,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากเดิม 146,870 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากเดิม 15,340 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.97 เท่า
สำหรับในปี 2565 บริษัทวางแผนขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งสู่การเป็น "ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน"