BGC ตอกย้ำความแข็งแกร่งทำผลงานปี 64
เติบโตทั้งรายได้และกำไร บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวด Q4 อัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น มั่นใจภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10%
บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC ตอกย้ำธุรกิจแข็งแกร่ง ชูผลการดำเนินงานปี 2564 ทำรายได้จากการขาย 12,387 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 523 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน รวมถึงปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น บอร์ดประกาศจ่ายเงินปันผลงวดไตรมาส 4/2564 อัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ มั่นใจภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% หลังยุโรปและสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายมาตรการป้องกัน COVID-19 ส่งผลภาคธุรกิจกลับมาเปิดบริการตามปกติ
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานปี 2564 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนและหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้มาตการล็อกดาวน์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 12,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่รักษาการเติบโตทั้งรายได้และกำไร มาจากปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์ในปี 2564 ที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายตลาดและปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดที่มีความท้าทายจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้า อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถขยายตลาดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของตลาดต่างประเทศ
นอกจากนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้ขยายการลงทุนโดย (1) เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม และ (2) เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ กำลังการผลิตประมาณ 5 หมื่นตันต่อปี เพื่อปรับโมเดลธุรกิจสู่ Total Packaging Solutions ที่มีบรรจุภัณฑ์พร้อมบริการที่หลากหลาย จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว ส่งผลดีต่อการเพิ่มยอดขายสินค้าจากบรรจุภัณฑ์อื่น และสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ประชุม (บอร์ด) จึงมีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตรารวม 0.48 บาทต่อหุ้น โดยก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว 3 ครั้ง จากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 2/2564 และ 3/2564 ในอัตรา 0.13 บาทต่อหุ้น 0.12 บาทต่อหุ้น และ 0.11 บาทต่อหุ้นตามลำดับ คงเหลือที่จะต้องจ่ายเงินปันผลในครั้งนี้อัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565
ทั้งนี้ ประเมินว่าในปี 2565 แนวโน้มตลาดบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกจะฟื้นตัวและเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หลังจากคาดการณ์ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในฝั่งยุโรปและอเมริกาได้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยประเทศแถบยุโรปเริ่มทยอยลดการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ส่งผลให้ภาคธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ผับ บาร์ สามารถกลับมาเปิดให้บริการและประชาชนใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งจะส่งผลดีการบริโภคสินค้าและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
"จากสถานการณ์ COVID-19 ในฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มคลายความกังวล คาดว่าจะเห็นเทรนด์ดังกล่าวเกิดขึ้นตามมาในประเทศแถบเอเชีย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะทยอยฟื้นตัวและส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตามความท้าทายในปีนี้คือการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตเพื่อรับมือราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯได้เพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วในเตาหลอมเพื่อลดการใช้พลังงาน และเพิ่มประเภทพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิในเตาหลอมแก้ว ช่วยลดความสูญเสียของพลังงาน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นายศิลปรัตน์ กล่าว