ผู้เขียน หัวข้อ: AIRA กลับมาท็อปฟอร์ม โชว์กำไรปี64 พุ่ง พลิกกำไร 117 ลบ.  (อ่าน 395 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • *
  • กระทู้: 931
  • Popular Vote : 0
AIRA กลับมาท็อปฟอร์ม โชว์กำไรปี64 พุ่ง พลิกกำไร 117 ลบ.

บมจ.ไอร่า แคปปิตอล ("AIRA") ตอกย้ำผลการดำเนินงานเทิร์นอะราวด์ โชว์งบปี 2564 พลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 76 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม 1,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจในเครือสร้างผลตอบแทนตามเป้าที่วางไว้ ระบุ หลังจากนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว พร้อมตอกย้ำ AIRA Group การเป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (รีเทิร์นอินเวสเมนท์) ให้กับผู้ถือหุ้นสูง

บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ว่า สำหรับปีที่ผ่านมาถือเป็น AIRA Group มีความโดดเด่นและมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯสามารถสร้างผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทสามารถปรับตัวดีขึ้นสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสิ้นเชิง โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 1,160 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และพลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 76 ล้านบาท อีกทั้งงบเฉพาะกิจการของบริษัทในปี 2564 มีรายได้รวมเท่ากับ 138 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 73 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเนื่องจาก การรับรู้รายได้จากค่านายหน้า กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ โดยมีส่วนรายได้ 632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณการซื้อขายของลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่รายได้จากการให้เช่าและบริการ จำนวน 191 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ค่าเช่าจากสัญญาเช่าดำเนินงานของธุรกิจลีสซิ่ง 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบจากปีก่อน และรายได้ค่าเช่าของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยรายได้ค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอาคารสำนักงานให้เช่าที่ดำเนินการในนาม บจก.แอสไพเรชั่น วัน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการให้เช่าพื้นที่ได้ตั้งแต่ปี 2563 โดยมีอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้

ส่วนผลการดำเนินของบริษัทร่วมที่ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล สำหรับปี2564 มีรายได้รวม 1,665 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 302 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 56 ล้านบาท ซึ่ง AIRA รับรายได้ส่วนแบ่งเงินลงทุนร้อยละ 30 คิดเป็นกำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุน 90 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรงทำให้มีผลขาดทุนเล็กน้อย

พร้อมกันนี้ บริษัทฯมีการบันทึกกำไรจากเงินปันผลของบริษัทย่อย 2 บริษัท ที่ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ประจำปี 2564 เป็นเงินรวม จำนวน 108.92 ล้านบาท จาก บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.025 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 28.62 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.073 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 80.30 ล้านบาท โดยเงินปันผลดังกล่าวจะบันทึกรับรู้เป็นกำไรเข้ามาในไตรมาส4/2564 นี้

นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น เป็นการตอกย้ำถึงความศักยภาพความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับทุกบริษัทในเครือ AIRA Group ได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนทางการเงินและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญหลังจากที่ AIRA Group ได้มีการขยายการลงทุนในแต่ละธุรกิจในแต่ละช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่ปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตของธุรกิจในเครือ

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า AIRA Group เป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (รีเทิร์นอินเวสเมนท์) ให้กับผู้ถือหุ้นสูง ประกอบกับมีศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน โดย ณ สิ้นปี2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสด ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทเป็น Non-Bank บริษัทเดียวที่ได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านการร่วมลงทุนในแต่ละธุรกิจ โดยกลุ่มพันธมิตรดังกล่าวอยู่ในระดับ TOP 3 ของ กลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละประเทศ อาทิ บริษัท AIFUL Corporation ประเทศญี่ปุ่น , บริษัท Eugene Investment &Securities ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทการเงินและวัสดุก่อสร้างชั้นนำจากประเทศเกาหลี , บริษัท Kenedix Asia Private Limited บริษัทจัดการกองทุนและบริหารสินทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น , NEC Capital Solutions Limited (NECAP) บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่ Travelex จากอังกฤษ ที่ดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการให้บริการด้านการเงินที่ครอบครบในทุกมิติ