ผู้เขียน หัวข้อ: ต่างชาติซื้อหุ้นไทยกว่า 7 หมื่นลบ.ตั้งแต่ต้นปี 65 สวนทางภูมิภาค  (อ่าน 404 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deam205

  • *
  • กระทู้: 1,097
  • Popular Vote : 0
ต่างชาติซื้อหุ้นไทยกว่า 7 หมื่นลบ.ตั้งแต่ต้นปี 65 สวนทางภูมิภาค

ตลาดหุ้นเอเชียเผชิญการไหลออกของเงินทุนต่างชาติในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี เม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ส่งผลให้นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมกว่า 70,000 ล้านบาท สวนทางภูมิภาค

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Refinitiv ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับเม็ดเงินไหลเข้าจำนวน 1,880 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. หรือราว 61,300 ล้านบาท หลังจากมีกระแสเงินไหลเข้า 400 ล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. หรือราว 13,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเซียจำนวน 1,220 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.

ขณะเดียวกัน Refinitiv เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างขาติขายสุทธิหุ้นเอเชียมูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. โดยส่งแรงขายในตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินเดีย

นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไต้หวันมากที่สุดคิดเป็นวงเงิน 5.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดกับจีน

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นอินเดียติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ในเดือนก.พ. คิดเป็นวงเงิน 4.74 พันล้านดอลลาร์ โดยได้ปัจจัยลบจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ก่อนหน้านี้ ต่างชาติขายสุทธิหุ้นเอเชีย 8.4 พันล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. โดยเทขายในตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งเป็นการไหลออกของกระแสเงินทุนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2564 ส่งผลให้ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ดิ่งลง 4.36% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน

ต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นอินเดียมากที่สุดในเดือนม.ค. คิดเป็นมูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นวงเงินสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 ขณะที่หุ้นอินเดียเริ่มมีราคาแพง ส่งผลให้นักลงทุนเข้าทำกำไรหลังราคาหุ้นพุ่งแรงตั้งแต่ปีที่แล้ว

"ในอนาคตอันใกล้ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จะยังคงเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และกดดันต่อสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่" นางมาร์กาเร็ต หยาง นักวิเคราะห์จาก DailyFX กล่าว

"อย่างไรก็ดี นักลงทุนอาจจะใช้โอกาสนี้เข้าช้อนซื้อหุ้นที่ดิ่งลง เนื่องจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชีย-แปซิฟิกไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามในยูเครน" นางหยางกล่าว