ประธานเฟดนิวยอร์ก
ยืนยันเศรษฐกิจสหรัฐไม่เข้าสู่ภาวะ Stagflation
นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยเมื่อวานนี้ (3 มี.ค.) ว่า กรณีรัสเซียบุกยูเครนส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีความไม่แน่นอนมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่การออมของภาคครัวเรือนและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยจำกัดความเสียหายได้
นายวิลเลียมส์กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นเหมือน "ภาษี" สำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกันที่จะจำกัดการใช้จ่าย แต่เงินออมที่สะสมไว้ในช่วงโควิด-19 ระบาด อาจช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นได้
"เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะดังกล่าวอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ปัญหาเรื่องภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อสูง (stagflation)" นายวิลเลียมส์กล่าวในงานที่จัดขึ้นทางออนไลน์โดยสภาเศรษฐกิจศึกษา (Council for Economic Education)
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่เฟดกล่าวว่ากำลังวางแผนที่จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี
นายวิลเลียมส์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงในปลายปีนี้ แต่ยังคง "สูงกว่า" เป้าหมายที่ 2% ของเฟด โดยเมื่อเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย นโยบายการคลังลดลง และปัญหาการขาดแคลนซัพพลายได้รับการแก้ไขแล้ว อัตราเงินเฟ้อก็ควรจะลดลง
อย่างไรก็ดี นายวิลเลียมส์เน้นย้ำว่า เฟดมีความสามารถในการรับมือ หากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าที่คาดไว้ในช่วงปลายปีนี้ และปีต่อ ๆ ไป