ผู้เขียน หัวข้อ: อนุสรณ์ชี้เงินทุนเล็งโยกออกรัสเซียเข้าไทย-เอเชียหลัง MSCI ถอดหุ้น,เงินเฟ้อพุ่งตามน้ำมัน  (อ่าน 414 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ luktan1479

  • *
  • กระทู้: 1,132
  • Popular Vote : 0
อนุสรณ์ชี้เงินทุนเล็งโยกออกรัสเซียเข้าไทย-เอเชียหลัง MSCI ถอดหุ้น,เงินเฟ้อพุ่งตามน้ำมัน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ ม. รังสิต แสดงความเห็นต่อสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนว่า การหยุดยิงชั่วคราวและการเปิดช่องทางและปล่อยให้ประชาชนในสองเมือง เมือง Mariupol เมือง Volnovakha อพพยหนีภัยสงครามได้ มี Humanitarian Corridors ให้ประชาชนสามารถหนีออกจากพื้นที่สงคราม ข้อตกลงเหล่านี้เป็นสัญญาณว่ามีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนระดับหนึ่งแต่รัสเซียยังคงละเมิดการหยุดยิงอยู่ ข้อตกลงดังกล่าวทำให้ความรุนแรงของสงครามลดลงชั่วคราว ปัจจัยนี้น่าจะส่งผลบวกระยะสั้นเพียงเล็กน้อยต่อตลาดการเงิน อาจทำให้ราคาทองคำและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชะลอการพุ่งขึ้นในระยะสั้นบ้าง

อย่างไรก็ตาม การที่ MSCI เตรียมถอดหุ้นรัสเซียออกจากดัชนีเพื่อการลงทุนทั้งหมด และ ตลาดหุ้นรัสเซียถูกจัดอยู่ในตลาดการลงทุนที่ไม่สามารถลงทุนได้ (Uninvestable) และ จัดตลาดหุ้นรัสเซียจากตลาด Emerging Market เป็น Standard Market ผลการดำเนินการดังกล่าวของ MSCI จะทำให้เม็ดเงินของกองทุน Emerging Market จะขยับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและไทยมากขึ้น ตลาดหุ้นรัสเซียคิดเป็น 3% ของ Emerging Market ETFs โดยผลที่เกิดขึ้นทันทีต่อนักลงทุนหรือกองทุนที่ถือ กองทุน Emerging Makket ETFs ขาดทุนหรือมูลค่าลดลงทันทีอย่างน้อย 3% เมื่อ MSCI ถอดตลาดหุ้นรัสเซียออกจาก Index ในต้นสัปดาห์ 7-8 มีนาคม นี้

นายอนุสรณ์ อธิบายว่า ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ เป็นต้น โดยต้องการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีมากที่สุด คาดว่า ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะมีความผันผวนมากที่สุดในสัปดาห์นี้หลัง MSCI ปรับน้ำหนักการลงทุนและถอดหุ้นรัสเซียออกจากการลงทุน โดยขณะนี้ตลาดหุ้นรัสเซียยังคงถูกสั่งปิดโดยทางการ ซึ่งเมื่อเปิดทำการซื้อขายจะถูกเทขายอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ การซื้อขาย กองทุนรัสเซีย ETF ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา คือ VanEck Russia ETF มูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงอย่างรุนแรงเหลือเพียง 1.29 ดอลลาร์ต่อหน่วยลงทุนแต่ราคาปิดยังคงอยู่ที่ 7.19 ดอลลาร์ต่อหน่วย กองทุนได้ถูกปิดลงไม่ให้มีการขายออกชั่วคราว เม็ดเงินเหล่านี้บางส่วนที่เคยลงทุนในรัสเซียจะถูกโยกมาลงทุนในตลาด Emerging Market อื่นๆโดยเฉพาะในตลาดหุ้นอาเซียนและไทยแทน

ในปี 2564 กอง iShares MSCI Russia ETF ให้ผลตอบแทนในระดับ 17.98% แต่จากผลของสงครามรัสเซียยูเครนและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของพันธมิตรชาติตะวักตก ทำให้ราคาที่เคยสูงสุดเมื่อตุลาคมเมื่อปีที่แล้ว ที่ 52.8 ปัจจุบันตกมาอยู่ที่ 12.0 ลดลงไปประมาณ 77% คาดว่า หากตลาดหุ้นรัสเซียเปิดทำการเชื่อว่า มูลค่าตลาดอาจหายไปทันทีไม่ต่ำกว่า 60% แรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจและตลาดการเงินจะทำให้รัสเซียทนไปได้นานแค่ไหน คิดว่าน่าจะทนไปได้นานพอสมควรเพราะรัสเซียมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 6.3 แสนล้านดอลลาร์ ธนาคารกลางรัสเซียประกาศขึ้นดอกเบี้ยทีเดียวจาก 9.5% เป็น 20% หรือเพิ่มขึ้น 10.5% เพื่อประคองค่าเงินรูเบิลไม่ให้ทรุดหนักและจูงใจไม่ให้คนถอนเงินออกจากธนาคาร รวมทั้งสั่งให้ผู้ส่งออกต้องขายเงินตราต่างประเทศที่ได้รับมาถึง 80%

ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นต่อเนื่องแม้จะมีอุปทานน้ำมันจากอิหร่านเพิ่มเข้ามาในตลาดโลกก็ตาม เพราะกองทัพรัสเซียเข้ามาควบคุมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครนและการใช้การผลิตไฟฟ้าบีบยูเครนและยุโรปตะวันตกได้

ผลกระทบของสงครามรัสเซียยูเครนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ระบบการค้าโลก การลงทุนระหว่างประเทศและตลาดการเงินโลกอย่างชัดเจน รัฐบาลรัสเซียจะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกจากชาติตะวันตก และสร้างแรงกดดันทางการเมืองสั่นคลอนอำนาจรัฐบาลของระบอบปูตินได้ นาโต้ยังไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของยูเครน ประกาศให้ยูเครนเป็นเขตห้ามบิน และ ไม่ส่งกองทัพนาโต้ร่วมต่อสู้กับกองทัพรัสเซีย เพื่อลดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างนาโต้กับรัสเซียและหลีกเลี่ยงสงครามขยายวง

นายอนุสรณ์ ได้ประเมินสถานการณ์สงครามรัสเซียยูเครนและผลกระทบออกเป็น 6 ฉากทัศน์ ดังต่อไปนี้ ฉากทัศน์ที่หนึ่ง เป็นเพียงสงครามระยะสั้น สามารถยึดครองยูเครนได้และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นพันธมิตรกับรัสเซียได้ภายใน 15 วัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจำกัดและไม่รุนแรง ส่วนเศรษฐกิจรัสเซียเสียหายหนักจากการคว่ำบาตรของพันธมิตรชาติตะวันตก ความสูญเสียของชีวิตมนุษย์และความเสียหายในพื้นที่สงครามรุนแรง แต่ฉากทัศน์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะรัสเซียไม่น่าจะสามารถยึดครองประเทศยูเครนได้ตามเป้าหมายหรือเร็วกว่า 15 วัน มีแรงต่อต้านจากประชาชนและกองทัพยูเครนอย่างเข้มแข็งและยังมีชาวยูเครนและทหารรับจ้างต่างประเทศสมัครไปรบในยูเครน การไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลซิรินสกี้ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนชาวยูเครนได้ภายในเวลาอันสั้น ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองและการทหารของระบอบปูตินไม่อยู่ในฐานะที่มีอำนาจต่อรองมากนัก

ฉากทัศน์นี้อาจเกิดขึ้นได้หากทั้งสองฝ่ายยุติการหยุดยิงและยุติสงคราม สามารถเจรจาสันติภาพกันได้ แต่เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้น้อย ฉากทัศน์ที่สอง สงครามยืดเยื้อในยูเครน ฉากทัศน์นี้เป็นไปได้มากที่สุดเหมือนสถานการณ์สู้รบในซีเรียและอัฟกานิสถาน กองทัพรัสเซียสามารถยึดครองพื้นที่บางส่วนของยูเครนได้ รัฐบาลยูเครนยังคงบริหารประเทศได้ในบางพื้นที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปจะรุนแรงและยืดเยื้อรวมทั้งมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมีจำกัด แต่สงครามยืดเยื้อในยูเครนจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามตัวแทนระหว่างระบอบอำนาจนิยม กับ ระบอบเสรีประชาธิปไตย กลายเป็นสงครามเย็นรอบใหม่

ฉากทัศน์ที่สาม ขยายวงสู่สงครามยุโรป ฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้ลดลง เพราะสมาชิกนาโต้ไม่ส่งกองทัพเข้าร่วมรบโดยตรง และหลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆในการเผชิญหน้าทางการทหารโดยตรงระหว่างนาโต้กับรัสเซีย แต่หากเกิดกรณีนี้ขึ้นจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจเกิดวิกฤตการณ์ได้ หากสงครามขยายวงเป็นสงครามในยุโรปผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกแม้นจะไม่รุนแรงเท่าการแพร่ระบาดโควิดและล็อกดาวน์เศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2563 แต่น่าจะส่งผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของบางประเทศ ทิศทางขาขึ้นอัตราดอกเบี้ยโลกชะลอตัวและธนาคารกลางหลายประเทศอาจต้องออกมาตรการเพิ่มเพื่อประคับประคองตลาดการเงิน

อย่างไรก็ตาม บทบาทของรัสเซียในระบบการค้าโลกและระบบการเงินและการลงทุนโลกยังไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ขนาดเศรษฐกิจและมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกประมาณ 6.37 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ยูเครนอยู่ในอันดับที่ 56 ประมาณ 0.15 ล้านล้านดอลลาร์ (จัดอันดับโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ประเทศยุโรปตะวันออกอย่างโปแลนด์มีมูลค่าส่งออกไปยุโรปตะวันตกมากกว่ารัสเซีย ประเด็นใหญ่ คือ ปัญหาวิกฤติพลังงานในยุโรปตะวันตก หากรัสเซียเลิกส่งออกพลังงานไปยุโรปเพราะยุโรปตะวันตกต้องพึ่งการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียหนึ่งในสามของอุปสงค์ทั้งระบบ ต้องพึ่งพาน้ำมันประมาณ 25% จากรัสเซียและก๊าซธรรมชาติ 44% จากรัสเซีย ราคาข้าวสาลีและราคาขนมปังจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะต่อไป ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัว Plantinum, Palladium, Silver, Copper ในตลาดโลกน่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกือบทั้งหมด

ฉากทัศน์ที่สี่ ขยายวงสู่สงครามยุโรปและมีการใช้ขีปนาวุธนิวเคลียร์โจมตีกันไปมา เป็นฉากทัศน์ที่มีความเป็นไปได้ต่ำเช่นเดียวกัน หากเกิดกรณีนี้ขึ้นอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ระดับเดียวกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1930

ฉากทัศน์ที่ห้า ขยายวงสู่สงครามโลก เป็นฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้น้อยเช่นเดียวกัน เพราะสหรัฐอเมริการและชาติพันธมิตรตะวันตกนาโต้ลดความเสี่ยงด้วยการไม่เผชิญหน้ากับรัสเซียโดยตรง หากเกิดกรณีนี้ขึ้นอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ระดับเดียวกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1930 หรือรุนแรงกว่า เพราะโลกเชื่อมโยงกันมากกว่า เป็นโลกาภิวัตน์มากกว่าเมื่อ 90 ปีที่แล้ว ฉากทัศน์ที่หก เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัสเซีย ระบอบปูตินหลุดพ้นจากอำนาจ สงครามยุติลงทันทีและตามมาด้วยการถอนกำลังทหาร ฉากทัศน์นี้เป็นไปได้ แต่ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1-2 ปี

การต่อสู้และสงครามน่าจะยืดเยื้อหากระบอบปูตินไม่ถอนกองทัพรัสเซียออกจากดินแดนของยูเครน และน่าจะมีสภาพเดียวกับ สงครามเวียดนาม สงครามในซีเรีย หรือ อัฟกานิสถาน หากถอนทหารและยุติการหยุดยิงด้วยการเจรจาสถานการณ์น่าจะจบลงโดยเร็วแต่ไม่น่าจะเป็นทางเลือกของระบอบปูตินเนื่องจากต้องการดินแดนบางส่วนมาผนวกรวมกับรัสเซีย ยังมีประเด็นเรื่องความพยายามเข้าร่วมกับอียูและนาโต้ของยูเครนที่เป็นประเด็นที่กลุ่มผู้นำของมอสโคว์รู้สึกถึงความไม่มั่นคง แต่เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยให้ประชาชนชาวยูเครนตัดสินใจเลือกเอง ไม่ใช่เอากำลังไปรุกรานบีบบังคับ หากระบอบปูตินยึดพื้นที่ประเทศยูเครนได้ แล้วตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดแล้วจะมั่นใจเลยว่า ประชาชนจะไม่ต่อต้าน มันก็จะเกิดความวุ่นวายและเป็น สงครามกลางเมือง Civil War แบบเดียวกับที่เกิดในซีเรีย สงครามอาจไม่ขยายวงตราบเท่าที่สมาชิกนาโต้ไม่ส่งกองทัพเข้าร่วมรบ หากสงครามขยายวง ก็ต้องมาประเมินเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจไทยกันใหม่

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดกรณีฉากทัศน์ใดก็ตามจะทำให้ ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่ำจากระดับปัจจุบัน 7-15 บาทต่อลิตร มีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อในไทยในช่วงที่เหลือของปีเฉลี่ยที่ 6-10% และ ประเทศไทยอาจประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้ในปีนี้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว หากเลือกชดเชยอุดหนุนราคาไปเรื่อยๆ ก็จะเพิ่มปัญหาหนี้สาธารณะและความเสี่ยงฐานะการคลังในอนาคต เงินเฟ้อช่วงที่เหลือของปีจะพุ่งสูงขึ้น และ น่าจะสูงกว่าเป้าหมายค่อนข้างมาก

ปัจจัยการไหลเข้าของเงินทุนที่โยกมาจากกองทุนตลาด Emerging Market ที่ลงทุนในรัสเซียมายังไทยและอาเซียนจะช่วยประคองเงินบาทเอาไว้ แม้นเงินบาทอ่อนค่าลงแต่อาจไม่ได้อ่อนค่ารุนแรงแต่อย่างใด โดยเงินบาทน่าจะมีช่วงความเคลื่อนไหวที่ระดับ 32.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงเวลาที่เหลือของปี ตลาดสินค้าส่งออกของไทยโดยภาพรวมอาจชะลอตัวยกเว้นสินค้าเกษตรส่งออกจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ส่วนผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจรัสเซียโดยตรงยังมีจำกัดเพราะมูลค่าส่งออกระหว่างรัสเซียกับไทยอยู่ในระดับ 1,000-1,200 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น