ผู้เขียน หัวข้อ: ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าลุ้นรีบาวด์หลังร่วงแรงแต่อาจผันผวนจากวิกฤติยูเครนกดดัน  (อ่าน 449 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deam205

  • *
  • กระทู้: 1,097
  • Popular Vote : 0
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าลุ้นรีบาวด์หลังร่วงแรงแต่อาจผันผวนจากวิกฤติยูเครนกดดัน

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้นหลังจากเมื่อวานนี้ปรับตัวลงแรง ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียในวันนี้ส่วนใหญ่เปิดมาในแดนลบ แต่ยังมีบางตลาดบวกขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อมาต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความผันผวนได้ในระหว่างวัน แนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะในการเข้าลงทุน
โดยให้แนวต้าน 1,640 แนวรับ 1,610 จุด

ด้านบทวิเคราะห์ของ บล.เคทีบีเอสที ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทนวันนี้ยังผันผวนสูง จากความกังวลผลกระทบสถานการณ์ยูเครนต่อเศรษฐกิจโลก กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก หลังการเจรจาคืนที่ผ่านมายังไม่คืบหน้า คงต้องรอดูครั้งต่อไป 10 มี.ค.

ขณะที่ตลาดกังวลกับทิศทางเศรษฐกิจโลก จากราคาน้ำมันและสินค้าต่างๆ ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนชะลอการลงทุนเข้าในสินทรัพย์เสี่ยงสูง โดยสินทรัพย์ที่จัดเป็น safe haven(ที่พักเงิน) ตอนนี้ คือ ทองคำ ดอลล่าร์ พันธบัตร และเงินสด สงครามยูเครนที่เกิดขึ้น ทำให้ราคาทองคำพุ่งอยู่ในระดับสูง เช้านี้ 1984 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยทองคำถูกมองเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงในยามที่เกิดสงคราม

ส่วนสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนตอนนี้ยังคงต้องจับตาดูผู้ติดเชื้อว่าการระบาดจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้หรือไม่ หากผ่านจุด peak ไปได้สถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ ธุรกิจที่เคยได้รับผลกระทบจะกลับมาฟื้นตัว

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (7 มี.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,817.38 จุด ร่วงลง 797.42 จุด หรือ -2.37%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,201.09 จุด ลดลง 127.78 จุด หรือ -2.95% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,830.96 จุด ลดลง 482.48 จุด หรือ -3.62%
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 24,974.35 จุด ลดลง 247.06 จุด หรือ -0.98%, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,372.55 จุด ลดลง 0.31 จุด หรือ -0.01% ส่วนดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,082.39 จุด เพิ่มขึ้น 24.76 จุด หรือ -0.12%
ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 มี.ค.) ที่ระดับ 1,626.70 จุด ลดลง 45.02 จุด (-2.69%)
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,340.55 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 มี.ค.65
ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 3.72 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 119.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2551
ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 มี.ค.) อยู่ที่ 9.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
เงินบาทเปิด 33.07 อ่อนค่าต่อเนื่องตามภูมิภาค กังวลรัสเซีย-ยูเครนรุนแรงมากขึ้น
"พลังงาน" ชง กพช. เพิ่มเพดานกองทุนน้ำมันกู้เงินเสริมสภาพคล่อง รับมือราคาพลังงานพุ่ง "รัฐบาล" ยันตรึงดีเซลได้ 2 เดือน เชื่อราคาลดลงหลังพ้นฤดูหนาว "คลัง" ชี้หากราคาพุ่งต่อเนื่องต้องเพิ่มเงินอุดหนุนขายปลีกดีเซล พร้อมลดภาษีอีก "สันติ" แจงยังไม่ปรับลดอัตราภาษีน้ำมันเบนซิน พร้อมเสนอ ครม.วันนี้ ลดค่าไฟฟ้าดูแล หุ้นไทย" ดิ่งหนัก 45 จุด เสมาคมค้าทองคำ ชี้ มีโอกาสราคาทองนิวไฮ
"เฟทโก้" เผย ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงระยะสั้น คาดต่างชาติเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง หลบภัยสงคราม "รัสเซีย-ยูเครน" จากสารพัดปัจจัยบวก "เศรษฐกิจโต-บจ.ไทยแข็งแกร่ง-คุมเงินเฟ้อได้" เพียง 2 เดือนกว่าซื้อสุทธิแล้ว 8.1 หมื่นล้าน มากกว่าที่ประเมินไว้
สมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.-7 มี.ค.65 หรือ 12 วัน ปรับขึ้นมาแล้ว 1,650 บาท จากราคาทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 29,150 บาท เพิ่มเป็น 30,800 บาท ขายออกที่บาทละ 29,250 บาท เพิ่มเป็น 30,900 บาท และทองรูปพรรณจากเดิมรับซื้อที่บาทละ 28,622.08 บาท เพิ่มเป็น 30,244.20 บาท ขายออกบาทละ 29,750 บาท เพิ่มเป็น 31,400 บาท ซึ่งเป็นราคาซื้อขายสูงสุดในประวัติการณ์อีกครั้งต่อจากเมื่อช่วงเดือนส.ค.63 ที่ราคาทองคำแท่งเคยขายออกอยู่ที่ 30,400 บาท
ททท.ระดมสมองเอกชนท่องเที่ยว ชง 4 มาตรการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวรัสเซียและยูเครนตกค้างในไทย 7,000-8,000 คน ให้ "ครม." วันนี้ (8 มี.ค.) พิจารณา ทั้งยกเว้นค่าต่อวีซ่า สั่งภูเก็ต-พัทยาหาที่พัก ดึงยูเนียนเพย์ของจีนรับชำระเงินแทน และดูแลค่าใช้จ่ายผู้ติดเชื้อ พร้อมหาเครื่องบินรับกลับรัสเซีย
มหาดไทยชง ครม.เคาะหย่อน บัตรผู้ว่าฯ กทม.-นายกฯ พัทยาวันนี้ คาดล็อกวันที่ 29 พ.ค.
*หุ้นเด่นวันนี้

AJ (เคทีบีเอสที) แนะ "ซื้อ"เป้า 23.00 บาท คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) พิจารณาใช้มาตรการ AD สินค้าฟิล์ม BOPP นำเข้าจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย มองเป็นบวกต่อ AJ ซึ่งเป็นผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม BOPP รายใหญ่ในประเทศ ส่วนแบ่งทางการตลาด 60-70% โดยอาจส่งผลให้ผู้ใช้ฟิล์มหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตในประเทศมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์แผ่นฟิล์ม BOPP ราว 50% ประเมินเบื้องต้นหากราคาขายแผ่นฟิล์ม BOPP เพิ่มขึ้นทุก ๆ +10% จะเป็น upside ต่อประมาณการกำไร +5%
ADVANC (พาย) แนะ "ซื้อ" เป้า 269 บาท) คาดรายได้กลุ่มลูกค้าองค์กรจะมีสัดส่วน 20% ของรายได้รวมภายในปี 68 ขณะที่ผู้บริหารเชื่อว่ากลุ่มนี้จะมีส่วนแบ่ง 20% ของรายได้รวมภายในปี 2024 ต่างกันเล็กน้อยเพราะคาดว่าการแข่งขันจะสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
OSP (ฟินันเซียไซรัส) แนะ "ซื้อ" เป้า 42 บาท แนวโน้มกำไร Q1/65 คาดฟื้นตัวดีต่อเนื่องทั้งตลาดไทยและต่างประเทศตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ฝั่งต้นทุนที่สูงขึ้นยังกระทบจำกัดในระยะสั้น M-150 ใหม่ที่ขยับราคาขึ้น 12 บาทจะเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตในปีนี้และเชื่อว่าผู้เล่นรายอื่นจะขยับตามทั้งอุตสาหกรรมเพื่อลดแรงกดดันด้านต้นทุน เราคาดกำไรปี 65-66 +12% CAGR