ผู้เขียน หัวข้อ: ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 184.74 จุด วิตกสหรัฐคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย  (อ่าน 448 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • *
  • กระทู้: 931
  • Popular Vote : 0
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 184.74 จุด วิตกสหรัฐคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (8 มี.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,632.64 จุด ลดลง 184.74 จุด หรือ -0.56%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,170.70 จุด ลดลง 30.39 จุด หรือ -0.72% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,795.55 จุด ลดลง 35.41 จุด หรือ -0.28%

ปธน.ไบเดนออกแถลงการณ์ที่ทำเนียบขาวในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า สหรัฐจะระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน โดยถ้อยแถลงของปธน.ไบเดนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเกือบ 4%

คริส เซนเยค นักวิเคราะห์จากบริษัท Wolfe Research กล่าวว่า นักลงทุนยังคงวิตกกังวลการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้น จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยขณะนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นเป็นวงกว้าง ตั้งแต่น้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน ไปจนถึงโลหะมีค่าอย่างนิกเกิลและพัลลาเดียม

นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันและสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังอาจทำให้แผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผชิญกับความไม่แน่นอน โดยมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ออกมาเรียกร้องให้เฟดใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากขณะนี้การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-กำลังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 2.64% และ 2.11% ตามลำดับ โดยหุ้นไนกี้ ดิ่งลง 2.60% หุ้นราล์ฟ ลอเรน ลดลง 0.83% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ร่วงลง 2.31% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ลดลง 1% หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1% หุ้นอิไล ลิลลี่ ลดลง 0.65%

อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเป็นปัจจัยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 1.39% โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 5.24% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน เพิ่มขึ้น 1.43% หุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.77%

หุ้นกลุ่มสายการบินและเรือสำราญดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อหลังราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 3.69% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 5.22% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดีดขึ้น 3.32% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป พุ่งขึ้น 2.25% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูส บวก 1.99%

หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 2.23% หลังจากบริษัทประกาศแผนการพัฒนาและการทดลองวัคซีนที่จะสามารถป้องกันไวรัส 15 ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงในอนาคต นอกจากนี้ โมเดอร์นาจะมอบสิทธิบัตรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างถาวรให้กับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

นักลงทุนจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ในปีนี้

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐพุ่งขึ้น 9.4% สู่ระดับ 8.97 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.71 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 8.20 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.

ส่วนการนำเข้าเในเดือนม.ค.พิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับ 3.141 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกลดลง 1.7% สู่ระดับ 2.244 แสนล้านดอลลาร์