BC แผนปี 65 ลุยโมเดล BOS
รับอสังหาฯฟื้นเป้าขาย 8 โครงการ-เปิดคลีนิกกัญชา
นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น (BC) เปิดเผยภาพรวมธุรกิจปี 65 จะเติบโตครบทุกมิติ โดยมีไฮไลท์จากธุรกิจกัญชา ภายใต้ บริษัท บีสโปค ไลฟ์ ไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปัจจุบันโดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน (RMUTL) ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้นำเข้าเมล็ดพันธุ์ 380 เมล็ดจาก 39 สายพันธุ์ ซึ่งถือเป็นเมล็ดพันธุ์กัญชาคุณภาพสูงจากต่างประเทศที่ให้ผลผลิตมากที่สุดในประเทศไทย ปลูกด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยจากนวัตกรรมของบีสโปค
นอกจากนี้ บีสโปคและมหาวิทยาลัยยังได้รับใบอนุญาตจาก อย. ให้ปลูกกัญชาเพื่อใช้ในโครงการผลิตกัญชาคุณภาพสูงสำหรับคลินิกแพทย์แผนไทยเรียบร้อยแล้ว ปี 25 จึงประกาศความคืบหน้าครั้งสำคัญ BC ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการคลินิกกัญชาเพื่อสุขภาพระดับไฮเอนด์แห่งแรก ที่อาคารซัมเมอร์ พอยท์ บนถนนสุขุมวิท ติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพระโขนง ในช่วงกลางปีนี้
นอกจากนี้ ยังเริ่มเข้าสู่ธุรกิจบล็อกเชน ด้วยการเปิดตัว NFT ภายใต้โครงการ "CannaThai 420" ด้วยภาพศิลปะที่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการเติบโต วัฏจักร และระบบนิเวศของการเพาะปลูกกัญชาของบีสโปค ที่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน โดยซีรีส์แรกประสบความสำเร็จอย่างมากโดยใช้เวลาเพียง 48 วันนับตั้งแต่การเริ่มทำโครงการจนถึงวันที่ขายหมด และเตรียมเปิดตัว NFT ซีรีส์ถัดไปในช่วงกลางปีนี้ตามโรดแมพ
ด้านธุรกิจหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ สร้าง-ดำเนินการ-ขาย (Build-Operate-Sale: BOS) มีแนวโน้มการเติบโต จากภาพรวมโครงการในมือที่แข็งแกร่ง ประกอบกับภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยปัจจุบัน BC มีโครงการที่อยู่ระหว่างสร้าง (Build) จำนวน 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนเปิดตัวในปีนี้ คือ โอ๊ควู้ด สตูดิโอ ทองหล่อ สเตชั่น, โจโน่ แบงค็อก อโศก และ ไอบิส เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นี่ย์ฮับ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและคาดจะเริ่มเปิดดำเนินการภายในปี 65
รวมทั้ง BC มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Operate) 9 แห่ง อาทิ โครงการอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าให้เช่า 1 แห่ง ที่ซัมเมอร์ พ้อยท์ ซึ่งมีการปรับรูปแบบธุรกิจรับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และเข้าสู่ธุรกิจด้าน Self-Storage มาเสริมทัพ ชูจุดเด่นบนทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งใจกลางริมถนนสุขุมวิท
นอกจากนี้กลุ่ม BC ยังมีโครงการอื่นๆ อาทิ โครงการซิทาดีนส์ สุขุมวิท 8, โครงการซิทาดีนส์ สุขุมวิท 11, โครงการซิทาดีนส์ สุขุมวิท16 และโครงการโอ๊ควู้ด เรสซิเด้นซ์ สุขุมวิท 24, โครงการโอ๊ควู้ด เจอร์นี่ย์ฮับ ภูเก็ต, โครงการโอ๊ควู้ด เจอร์นี่ย์ฮับ พัทยา และโครงการโนโวเทล เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ และโครงการอื่นๆ ที่ยังรอดำเนินการอีก เป็นต้น
ล่าสุด BC ได้แต่งตั้งให้ JLL เป็นตัวแทนขายโครงการที่มีศักยภาพ รวมสูงสุด 8 โครงการ กว่า 1,000 ห้อง โดยบริษัทจะคำนึงถึงโอกาส และราคาที่เหมาะสมเพื่อผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีที่สุด แม้ภายใต้สถานการณ์โควิดในปีที่ผ่านมา ทำให้ไม่ใช่จังหวะในการขายโครงการ แต่ในไตรมาส 4/64 ก็สามารถขายโครงการ ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 23 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มแอสคอทท์ (The Ascott Group) ให้แก่กลุ่มภิรัชบุรี โดยบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วมทั้งสิ้น 127.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากความสำเร็จจากการขายโครงการ และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 4/64 มีรายได้รวมที่ 172.3 ล้าน เพิ่มขึ้น 515.1% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 3/64 และเพิ่มขึ้น 381.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 35.8 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากกำไรการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม และรายได้จากค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายโครงการ
ด้านกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งรวมส่วนแบ่งกำไรขาดทุนกิจการร่วมค้า (Joint Venture) อยู่ที่ 53.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับขาดทุน 85.9 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัท อยู่ที่ 17.7 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 45.6 ล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการทั้งปี 64 มีรายได้รวม 253.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 80.4% โดยยังมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 130.5 ล้านบาท แต่เป็นผลขาดทุนที่ลดลง สะท้อนผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน
"แม้ทั่วโลกจะกลับมาตึงเครียดจากสถานการณ์รัสเซีย - ยูเครนแต่การปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากมาตรการภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้นตามเทรนด์ทั่วโลก แม้สถานการณ์โควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กลับมาแพร่ระบาด มองว่าจะไม่รุนแรงดังเช่นปี 64 ที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนเริ่มคลายความกังวล และการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมเพิ่มขึ้น บริษัทจึงเดินหน้าผลักดันธุรกิจ BOS ในหลายโครงการ เพื่อการเติบโตของรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้เรายังเดินหน้าลุยธุรกิจคลินิกกัญชาที่จะจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพจากสายพันธุ์ต่างประเทศที่ควบคุมการปลูกและผลิตในระบบปิด ที่สามารถมาผนวกกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเรา เพื่อเกื้อหนุนส่งเสริมระหว่างกัน ซึ่งความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนจะผลักดันผลประกอบการของกลุ่มบริษัทให้กลับมาเติบโต ทั้งจากธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน" นายปรับชะรันซิงห์ กล่าว