Pi ให้กรอบ SET 1,650-1,680 จุดจับตารัสเซีย-ยูเครน,ชู Domestic Play เด่น
บล.พาย (Pi) คาดว่า
ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,650-1,680 จุด โดยมองว่าสถานการณ์ยูเครนและรัสเซีย เป็นปัจจัยพิเศษที่ต้องจับตาต่อไป เพราะหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อาทิ ความรุนแรงที่มากขึ้นก็อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับฐานได้
ทั้งนี้ วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับฐานลงราว 0.7% เนื่องจากตลาดยังคงกังวลกับสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและรัสเซีย แม้ในช่วงเปิดตลาดจะฟื้นตัวได้บ้างหลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีวลาดีเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระบุถึงความคืบหน้าในการเจรจากับยูเครนวาเจ้าหน้าที่รัสเซียรายงานว่าเจรจาเริ่มมีสัญญาณบวกและการเจรจามีขึ้นทุกวัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปหลายประเทศปิดบวกได้ และพบว่าสัญญาณของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2, 10 ปีชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อย Vix Index ก็เช่นกัน ทองคำยังคงปรับฐาน และน้ำมันดิบ BRT ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 3.1% สัญญาณดังกล่าวบ่งชี้ว่าในภาพรวมนักลงทุนยังดูไม่ได้วิตกมากนักกับสถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย เพราะไม่เช่นนั้นราคาทองคำคงปรับขึ้นและ Vix Index ปรับขึ้นเด่นเช่นกัน
ปัจจัยสัปดาห์นี้
1. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 มี.ค.เป็นประเด็นที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญเนื่องจากจะมีการเปิดเผยตัวเลขต่างๆ อาทิ GDP, เงินเฟ้อ, ดอกเบี้ยในระยะถัดไป อิงข้อมูลจาก CME FED WATCH คาดว่าในการประชุมครั้งนี้จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% (95%) และอีก 5% มองว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม โดยความเห็นทั้งปี 65 คาดดอกเบี้ยปลายปีจะอยู่ที่ 1.75-2.00%
ทั้งนี้ เมื่อเกิดความไม่สงบยูเครน-รัสเซีย ก็มีโอกาสที่เฟดจะผ่อนคลายและหากผ่อนคลายมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ก็จะเป็นปัจจัย บวกต่อตลาดหุ้น หากผ่อนคลายกว่าที่ตลาดประเมินไว้มองกลุ่ม Growth Stock มีโอกาสกลับมาถูกเก็งกำไรได้ อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ (KCE) อย่างไรก็ตามหากดูทิศทางดอกเบี้ยเฟดยังเป็นลักษณะค่อยๆ ปรับขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น Value Play ยังเป็น Theme หลักในระยะกลาง
2. ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐในวันอังคาร Bloomberg คาดที่ 1%MoM เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ไม่ร้อนแรงจนเกินไปนัก และ 3. ยอดค้าปลีกสหรัฐในวันพุธ Bloomberg คาดที่ 0.4%MoM ประเมินคล้ายกันคือตลาดคงไม่ต้องการตัวเลขที่ร้อนแรงจนเกินไป
กลยุทธ์การลงทุน
Domestic จะดูมีความน่าสนใจกว่าเมื่อพิจารณาทั้งผลกระทบจากยูเครนและรัสเซียที่จำกัด ประกอบกับเป็น Value Play ที่สถิติช่วงเฟดขึ้นดอกเบี้ยเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดี อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ร้านอาหาร (M MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) แต่หากลงทุนระยะกลางแนะสะสมหุ้นที่มีน้ำมันเป็นต้นทุน อาทิ (SCC SCGP TOA) มองว่าราคาปรับลงมาสะท้อนไปบางส่วนแล้ว
ICHI (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 13 บาท) คาดผลประกอบการเติบโตแข็งแกร่งทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาส 1/65 และต่อเนื่องในไตรมาส 2/65 จากช่วงไฮซีซั่น ปัจจุบัน ICHI ซื้อขายเพียง 20xPEปี 65 ซึ่งถูกกว่าค่าเฉลี่ยซื้อขายในรอบ 5 ปีและต่ำกว่ากลุ่มเครื่องดื่ม
ADVANC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 269 บาท) คาดรายได้กลุ่มลูกค้าองค์กรจะมีสัดส่วน 20% ของรายได้รวมภายในปี 68 ขณะที่ผู้บริหารเชื่อว่ากลุ่มนี้จะมีส่วนแบ่ง 20% ของรายได้รวมภายในปี 67 ต่างกันเล็กน้อยเพราะคาดว่าการแข่งขันจะสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า