ผู้เขียน หัวข้อ: 'ไมเนอร์' พร้อมเสนอขายหุ้นกู้แบบไร้ใบ (Scripless) 21 - 23 มี.ค.นี้  (อ่าน 380 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Jessicas

  • *
  • กระทู้: 511
  • Popular Vote : 0
'ไมเนอร์' พร้อมเสนอขายหุ้นกู้แบบไร้ใบ (Scripless) 21 - 23 มี.ค.นี้ จองซื้อขั้นต่ำเพียง 1 หมื่นบาท ย้ำผู้ลงทุนเปิดพอร์ตหลักทรัพย์ได้เองผ่านระบบออนไลน์เพื่อรับหุ้นกู้เข้าพอร์ต สะดวกและรวดเร็ว

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT พร้อมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นกู้แบบไร้ใบ (Scripless) MINT e-Bond รวม 3 ชุด ในวันที่ 21 - 23 มีนาคมนี้ จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่ 3.00 - 3.60% ต่อปีย้ำผู้ลงทุนหุ้นกู้ชุดที่ 1 และ 2 จะได้รับหุ้นกู้เข้าพอร์ตหลักทรัพย์เท่านั้น โดยสามารถเปิดพอร์ตด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์หรือสาขาของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 5 แห่ง ส่วนหุ้นกู้ชุดที่ 3 จองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง' ได้ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ของวันที่ 21 มีนาคม ถึง 15.00 น. ของวันที่ 23 มีนาคม 2565 โดยหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดนั้นจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10,000 บาทเท่านั้น

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 - 23 มีนาคม 2565 พร้อมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นกู้แบบไร้ใบ (Scripless) MINT e-Bond ครั้งที่ 1/2565 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน รวม 3 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี และหุ้นกู้ดิจิทัลชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30% ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นทางเลือกการลงทุนแก่ผู้ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ นอกจากนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิพิเศษส่วนลด 10% จาก ร้านอาหารในเครือไมเนอร์ฯ 6 แบรนด์ที่ร่วมรายการ ได้แก่ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, เบอร์เกอร์คิงส์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ (ยกเว้นสาขาในสนามบิน) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ไปตลอดอายุหุ้นกู้ที่เลือกลงทุน (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)

บริษัทฯ และหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ 'A' จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ประกาศเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565) กำหนดมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณของ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อรายต่อผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 จะเสนอขายผ่านช่องทางต่างๆ ของสถาบันการเงิน 5 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทรในฐานะหน่วยงานขาย) ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 จะถูกฝากเข้าพอร์ตหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนเท่านั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ลงทุนไม่ต้องดูแลรักษาใบหุ้นและยังคงได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นตามวิธีการปกติ ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่มีพอร์ตหลักทรัพย์สามารถเปิดพอร์ตผ่านระบบออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้เวลาไม่นาน เพียงแค่ดำเนินการตามขั้นตอนที่ระบุไว้

ส่วนหุ้นกู้ชุดที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นกู้ดิจิทัล จะเปิดจองซื้อผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้บนแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง' โดยทำการดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง สมัครบริการวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้และทำแบบประเมินความเสี่ยงผู้ลงทุน และเติมเงินใน Wallet ID ให้พร้อม เพื่อจองซื้อหุ้นกู้ดิจิทัลได้ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ของวันที่ 21 มีนาคม ถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 23 มีนาคม 2565 หรือจนกว่าจะมีผู้จองซื้อเต็มจำนวน นอกจากนี้ ผู้ลงทุนที่ได้รับการจัดสรรหุ้นกู้ สามารถซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัลแบบเรียลไทม์ในตลาดรองตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ทางแอปฯ เป๋าตังได้ตั้งแต่วันออกหุ้นกู้เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำหรับหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด หากผู้ลงทุนต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อรับใบหุ้นกู้ในภายหลัง สามารถแจ้งนายทะเบียนหุ้นกู้หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่เปิดพอร์ตให้ดำเนินการได้ (มีค่าธรรมเนียม)

นายชัยพัฒน์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพธุรกิจและผลการดำเนินงานในปี 2565 ทั้งธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวและการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การลดหรือยกเลิกการกักตัว และการผ่อนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตและเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ประเทศไทยที่กลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวภายใต้โครงการ Test & Go ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนสถานการณ์ราคาวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ วางแผนรับมือด้วยการจัดซื้อให้เพียงพอต่อการใช้งานไปอย่างน้อยถึงไตรมาส 2/2565 และได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิต รวมถึงกลยุทธ์การจัดการเมนูและโปรโมชั่นเพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เตรียมกลยุทธ์จากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนโดยการมุ่งหาลูกค้าจากนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ เช่น ลูกค้ากลุ่ม Middle East, European หรือ American เพื่อมาทดแทนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่อาจหายไปถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่มีโรงแรมที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของหรือบริหารและร้านอาหารอยู่ในทั้ง 2 ประเทศ และสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียของบริษัทฯ ทั่วโลกคิดเป็นเพียง 2% จากผู้เข้าพักทั้งหมดซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น ๆ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จกับกลยุทธ์นี้มาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่แม้ว่าก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวจีนนั้นเป็นลูกค้า Top 3 ของโรงแรม ของบริษัทฯ ใน Maldives แต่พอเข้าช่วง COVID-19 นักท่องเที่ยวจีนถูกจำกัดการเดินทาง บริษัทฯ ได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อโฟกัสลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เห็นได้จากจากผลประกอบการของ โรงแรมใน Maldives ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าในช่วงก่อน COVID-19 ตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นมา

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/2564 ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรจากการดำเนินงานกว่า 1,600 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 4,200 ล้านบาท และนับเป็นการกลับมาทำกำไรครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาสที่ผ่านมาหลังเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทั้ง 3 หน่วยธุรกิจหลัก นอกจากนี้บริษัทฯ มีกระแสเงินสดกว่า 25,000 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อ พร้อมใช้กว่า 33,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 ตอกย้ำความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงฟื้นตัว

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่ของ MINT สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร่างหนังสือชี้ชวน หรือสอบถามจากสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง ดังนี้

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1111
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 819
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 (ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน))