JCK ผนึกกลุ่มซีพีฯร่วมพัฒนาที่ดินนิคมฯทีเอฟดีเฟส 2 กว่า 400 ไร่ อาศัยเครือข่ายของ CPAW
ดึงต่างชาติเข้าลงทุนโดยเฉพาะจีน
JCK คว้ากลุ่มซีพีฯ "CPAW" และกองทุนต่างประเทศ ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนเพื่อลงทุนและพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีเฟส 2 เนื้อที่กว่า 400 ไร่ เหตุทำเลเหมาะรองรับ EEC เบื้องต้นJCKจะรับรู้รายได้จากการขายที่ดิน มูลค่า 2,000 ล้านบาททันที เพื่อนำที่ดินไปพัฒนาและหวังดึงนักลงทุนต่างประเทศอาศัยเครือข่ายของCPAW และกองทุนต่างประเทศ มุ่งเจาะตลาดจีน ไต้หวัน ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมจ่อผุดทีเอฟดีเฟส 3 อีกราว 1,000 ไร่ เตรียมทำ EIA ในไตรมาส 2 นี้ รองรับเติบโตในอนาคต
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือ JCK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 บริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับบริษัท ซีพี แอสเซท ไวส์ โฮลดิ้ง จำกัด "CPAW" ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของซีพีฯ และกองทุนต่างประเทศเพื่อแสดงความประสงค์จัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนและพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 เนื้อที่กว่า 400 ไร่ โดยต้องผ่านการตรวจสอบประเมินผลทรัพย์สิน (Due Diligence) และได้อนุมัติจากคู่สัญญาทุกฝ่าย
ทั้งนี้ ทุกฝ่ายได้เล็งเห็นศักยภาพในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 เนื่องจากเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ที่อยู่ใกล้กรุงเทพมหานครมากที่สุด โดยนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 อยู่ที่ริมถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี กม.43 ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง จึงมีทำเลเหมาะสม สะดวกต่อการคมนาคมทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ
ในการร่วมลงทุนครั้งนี้ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของ JCK เพราะจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายที่ดินกว่า 400 ไร่ได้ทันทีกว่า 2,000 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทร่วมทุนจะนำที่ดินที่ได้มาส่วนหนึ่งขายให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่CPAWและกองทุนต่างประเทศจะชักนำมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 เนื่องจาก CPAW และกองทุนต่างชาติมีความแข็งแกร่งในตลาดประเทศจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่นรวมทั้งในกลุ่มทางยุโรป โดยจะมุ่งเน้นในลูกค้ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็คทรอนิกส์ให้เข้ามาประกอบกิจการในนิคม
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำที่ดินส่วนที่เหลือไปก่อสร้างโรงงานให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเช่าพื้นที่ โดยจะสร้างโรงงานตามความต้องการของลูกค้าเพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเข้ามาประกอบกิจการได้ทันที ซึ่งคาดว่า บริษัทร่วมทุนจะสามารถสร้างยอดขายที่ดินในปีแรกได้ไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ ส่วนโรงงานให้เช่ามีแผนจะสร้างไม่ต่ำกว่า 150,000 ตารางเมตร เพื่อให้เช่าและขายเข้ากอง REIT ต่อไป คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้แก่บริษัทร่วมทุนเมื่อจบโครงการ
นายอภิชัย ได้กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ JCK กำลังเตรียมที่จะขยายพื้นที่เพิ่มเติมอีกประมาณ 1,000 ไร่เศษสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี เฟส 3 โดยจะเริ่มทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA ภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เพื่อทำการพัฒนาให้เป็นพื้นที่พร้อมขายได้ประมาณปี 2566-2567 โดยได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการทำรายงาน EIA ให้เข้ามาเริ่มดำเนินการแล้ว ซึ่งในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีเฟส 3 นี้บริษัทจะขยายธุรกิจให้ครบวงจรมากขึ้นในเรื่องของการให้บริการในระบบสาธารณูปโภคไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของน้ำประปาหรือไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นในพื้นที่เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทอีกทางหนึ่ง