ผู้เขียน หัวข้อ: ธอส.คาดปี 65 คอนโดฯ-บ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ปริมณฑล กลับมาโตหลังชะลอไป 2 ปี  (อ่าน 502 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Jenny937

  • *
  • กระทู้: 644
  • Popular Vote : 0
ธอส.คาดปี 65 คอนโดฯ-บ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ปริมณฑล กลับมาโตหลังชะลอไป 2 ปี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) กล่าวถึงทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในปี 65 โดย REIC คาดการณ์ว่า จะมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล จำนวน 83,608 หน่วย เพิ่มขึ้น 62.2% มูลค่า 386,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.6% โดยประเมินจาก 8 ตัวแปรหลัก เรียงลำดับตามความสำคัญสูงสุด ประกอบด้วย อัตราการขยายตัวของ GDP อัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ย MRR ผลกระทบเชิญนโยบายและสถานการณ์ที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อัตราดูดซับบ้านจัดสรร อัตราดูดซับอาคารชุด กรุงเทพฯ และปริมณฑล และอัตราดูดซับบ้านจัดสรร อัตราดูดซับอาคารชุดในส่วนของภูมิภาค ตามลำดับ

เมื่อประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑลในปี 65 การลงทุนพัฒนาโครงการใหม่โดยเฉพาะโครงการอาคารชุด จะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาถึง 2 ปี โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ประเภทโครงการอาคารชุดเพิ่มขึ้น 111.5% หรือจำนวน 44,519 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 184.7% หรือจำนวน 177,246 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร เพิ่มขึ้น 28.2% หรือจำนวน 39,089 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 33.7% หรือจำนวน 209,511 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยโครงการอาคารชุดขายได้ใหม่จะเพิ่มขึ้น 40.1% หรือจำนวน 41,756 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 34.0% หรือจำนวน 165,544 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรรขายได้ใหม่เพิ่มขึ้น 10.4% หรือจำนวน 35,466 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 3.4% หรือจำนวน 180,845 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีโครงการที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล จำนวน 77,222 หน่วย เพิ่มขึ้น 24.7% มูลค่า 346,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% ประกอบด้วย จำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประเภทโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 35,466 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.4% มูลค่า 180,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% หน่วยขายได้ใหม่ประเภทโครงการอาคารชุดจำนวน 41,756 หน่วย เพิ่มขึ้น 40.1%มูลค่า 165,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.0%

อย่างไรก็ตาม จำนวนหน่วยเหลือขายยังคงเป็นตัวเลขที่น่าจับตา ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดย REIC คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 65 จะมีหน่วยเหลือขายคงค้างอยู่ในตลาดจำนวน 160,472 หน่วย ลดลง -2.7% มูลค่า 762,810 ล้านบาท ลดลง -4.5% ในจำนวนดังกล่าวประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรรจำนวน 91,586 หน่วย ลดลง -10.5% มูลค่า 478,035 ล้านบาท ลดลง -8.8% โครงการอาคารชุดจำนวน 68,887 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.1% มูลค่า 284,775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7%

ภาพโดยรวมทั้งหมด ส่งผลให้การขายที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล มีอัตราดูดซับ 3.5% โดยอัตราดูดซับโครงการบ้านจัดสรรจะอยู่ที่ 2.8% ขณะที่โครงการอาคารชุดมีอัตราดูดซับ 4.4% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งหลังปี 63-64

"จากการประมวลผลภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย จะสามารถเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค เปิดโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโดยในปี 65 ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง หากมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มากจนต้องมีการ Lock-down จะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควร บ้านมือสองอาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ดังนั้นผู้ประกอบการบ้านใหม่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง หากมีบ้านมือสองอยู่ในทำเลเดียวกัน" นายวิชัย กล่าว
นอกจากนี้ ยังคงต้องมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นการเปิดตัวโครงการใหม่ จำเป็นต้องมีข้อมูลรองรับเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน