ก.ล.ต.สั่งแบน
ผู้แนะนำลงทุนเป็นเวลา 4 ปี 2 เดือนหลัง KTB พบโกงเงินลูกค้า
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2 รายนายกิตติพัฒน์ กิจเวชเจริญ และจะไม่รับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนเป็นเวลา 4 ปี 2 เดือน กรณีกระทำมิชอบต่อทรัพย์สินของลูกค้า ขณะกระทำผิดสังกัดธนาคารกรุงไทย (KTB)
ก.ล.ต. ได้รับรายงานการตรวจสอบจาก KTB ในฐานะเป็นผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน (LBDU) และตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมพบว่า ในวันที่ 10 กันยายน 2563 นายกิตติพัฒน์ได้รับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนจากลูกค้า และให้ลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองโดยไม่ได้นำไปชำระค่าซื้อหน่วยลงทุนให้ลูกค้า แต่กลับทำรายการยกเลิกการซื้อหน่วยลงทุนโดยไม่ใช่ความประสงค์ของลูกค้า
ก.ล.ต. พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติกรรมของนายกิตติพัฒน์ข้างต้น เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในตลาดทุน ตามข้อ 31(1) ของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน จึงเห็นควรเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนและกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในคราวต่อไปของนายกิตติพัฒน์นับตั้งแต่วันที่คำสั่งมีผล
อย่างไรก็ตาม ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 2 ของนายกิตติพัฒน์สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ก.ล.ต. จึงกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบของนายกิตติพัฒน์เป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในคราวต่อไปเป็นเวลา 4 ปี 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2565
ทั้งนี้ ในการพิจารณากำหนดระยะเวลาข้างต้น ก.ล.ต. ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงว่า ธนาคารได้ตรวจพบรายการที่ผิดปกติดังกล่าว และได้ติดตามสอบถามจนนายกิตติพัฒน์ยอมรับและได้คืนเงินลูกค้าครบถ้วนแล้วในวันเดียวกัน จึงได้นำการคืนเงินให้ลูกค้า รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ บทบาทความเกี่ยวข้องและพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกพิจารณา การลงโทษที่บุคคลนั้นได้รับไปแล้ว ผลกระทบ ความเสียหาย หรือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น การแก้ไขหรือการดำเนินการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือขัดขวางการปฏิบัติงานของ ก.ล.ต. และประวัติหรือพฤติกรรมในอดีตอื่นใดที่แสดงถึงความไม่เหมาะสมที่จะเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน มาประกอบการพิจารณาแล้วด้วย
ก.ล.ต. ขอเตือนผู้ลงทุนโอนชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์เข้าบัญชีของธนาคารหรือบริษัทผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เท่านั้น และตรวจสอบยอดเงินลงทุนในหน่วยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของบุคลากรของผู้ประกอบธุรกิจ และหากมีข้อสงสัย ควรติดต่อศูนย์ดูแลลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์