ผู้เขียน หัวข้อ: จูนให้รถ ตด ปุ่งปั้ง มีข้อดีหรือข้อเสียยังไงครับ แล้วก็เรื่องเกียร์ครับ  (อ่าน 38881 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ xiezo

  • *
  • กระทู้: 152
  • Popular Vote : 17
  • The 4WD Machine
จูนให้รถ ตด ปุ่งปั้ง มีข้อดีหรือข้อเสียยังไงครับ
ตามหัวข้อเลยครับ

อ่อ สงสัยอีกเรื่องนึงอะครับ อย่างรถพี่ๆที่โมกันระดับ 350-450 ม้า เกียร์เดิมมันรับไหวเหรอครับ ^^
ขอบคุณมากกครับบบบบ :bbbear_4: :bbbear_4:

ออฟไลน์ samaksaman

  • *
  • กระทู้: 131
  • Popular Vote : 7
  • Sucker Socc FS
อยากทราบไว้เป็นความรู้เหมือนกันครับผม :bbbear_17:

ออฟไลน์ The Mechanic

  • *
  • กระทู้: 623
  • Popular Vote : 21
  • ช่าง...ซ่อมปัญหา
    • อีเมล์
อย่างแรกO2กลับญี่ปุ่นก่อนเลย
ขายติกเกอรไฟตัดหมอกข้างgc
www.siamsubaru.com/subaruboard/index.php?topic=137911

ออฟไลน์ boatstd

  • SRS Member
  • *
  • กระทู้: 3,942
  • Popular Vote : 63
  • สบายเกินไปไหมเนี่ยหมาตู
    • อีเมล์
ขออนุญาตเอาบทความของอาจารย์ตุ๋ยมาให้อ่านนะครับ

ระบบ Anti-lag และอื่นๆ
บทความนี้ มีประโยชน์ มากๆคับ จาก จารย์ ตุ๋ย กระทิงแดง จุนเนอร์ และนักแข่งแรลลี่ชื่อดังคับ

วงการมอเตอร์สปอร์ตเหมื่อนวงการโทรมือถือหรือคอมพิวเตอร์แหละครับ หยุดวันไหน ล้าหลังทันที มีอยู่ช่วงหนึ่งชอบทำรีสอร์ท ไปมั่วอยุ่ไม่ถึงปี กลับมากอีกที เค้าไปดาวอังคารกันแล้ว แต่ก็ใช้เวลาไม่นานครับ กลับมาเหมื่อนเดิมได้ถ้าหาความรู้ ไม่ปิดกั้นความคิดและยึดติด ส่วนใหญ่คนเรามักจะยึดติดกับความรู้เก่าๆที่ได้เรียนมา

อันนี้ความเข้าใจของผม ผิดถูกไม่รุ้
ครั้งแรกที่รู้จัก antilag ก้หลายปีมาแล้วจำไม่ได้ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ขวบ ยังใช้กล่องไม้ขีดอยู่ เห็นรถWRC เค้าดังๆกันเลยลองค้นหาดูบ้าง ก็ไปรู้จักเจ้า วันเวย์วาล์ว อันนั้นก็คือแอนตี้แล็คชนิดแรกๆที่เรารู้จักกัน ทำงานโดยเอาไอดีที่มีกำลังอัดจากท่ออินเตอร์ถูกปล่อยออกโดยโบอ๊อฟ ควบคุมการไหลกลับจากวันเวย์วาล์ว สามารถทำงานได้จริงเทอร์โบรอรอบน้อยลง แต่สั้นมากเพราะต้องรอกำลังอัดจากท่อไอดีหลังจากยกคันเร่งมาปั่นเทอร์ไบด์หลัง ผลที่ได้รับคือการระเบิด เนื่องจากมีอ๊อกซิเจนเข้าไปเติมไอเสียนอกห้องเผาไหม้(ท่อร่วมไอเสีย)
ต่อมาเพียง 1 ปี ก็มีการระเบิดแบบต่อเนื่องเสียงดังมาก มาให้ดูเป็นของใหม่สำหรับตอนนั้น บางค่ายมีไฟออกมายาวและต่อเนื่องมากๆ เช่นทีมฟอร์ด แต่สังเกตุจากรถแล้วไม่ค่อยไปเลย (เข้าใจเอาเองว่าน่าจะเทน้ำมันออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองช้าลง) อันนี้ก็
antilag เหมื่อนกัน แต่เริ่มต่อเนื่องและยาวขึ้น คนไทยเมื่อก่อนทั้งผมด้วย ชอบอธิบายกันว่าเป็นการจุดระเบิดนอกรอบ ซึ่งที่จริงมันคือการจุดระเบิดการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบน ถ้าคนเชื่อตามที่นักแข่งไทยเล่าให้ฟังสมัยแรกๆแล้วไม่คิดต่อก็คือการจุดระเบิดนอกรอบจริงๆ แต่เมื่อมองจากความเป็นจริงแล้ว จะมีประโยชน์อะไรในการให้หัวเทียนจุดอีกครั้งขณะที่มีการเผ่าไหม้แบบรุนแรงอยุ่แล้ว และจะเป็นไปได้หรือที่จะฉีดน้ำมันเข้าไปเพิ่มขณะที่วาล์วไอดีปิดอยู่ (กรณีจุดครั้งเดียว)
อันนี้แน่นอนก็เป็นระบบ antilag ที่ดีขึ้นสมบูรณ์มากขึ้น โดยการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนถ้าจะให้มีเสียงดังปังก็ต้องจ่ายน้ำมันลงไปด้วยแต่ให้มีปริมาณที่น้อยไม่ใช่มากน่ะครับ อันนี้ชัดเจนว่ารถพุงไปและตอบสนองดีกว่าเดิมเยอะเมื่อถอนคันเร่งและเร่งใหม่ แต่ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกครับทุกอย่างต้องพัฒนา ต่อไป
ต่อมาคราวนี้ไม่มีเสียงระเบิดแล้วครับมีแต่เสียง ปรื๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่รถพุ่งไปได้ดีกว่าเดิมอีก เดียวมาอธิบายต่อ

ต่อเลย
ต่อมาก้จะได้เห็นว่าระบบ antilag หรือ Boost Enhancement ก็พัฒนาต่อไป แต่ยังคงต้องอยู่ในพื้นฐานเดิม ที่ถูกเปลี่ยนไปหรือเพิ่มขึ้นก็คือ มีใครเลือกว่าจะตัดด้วยน้ำมัน หรือ ตัดด้วยการจุดระเบิด อันนี้แล้วแต่คนจะเลือกผลที่ได้รับแตกต่างกัน (ผมยังเข้าใจไม่ได้ดีเท่าไหร่)
แต่ผมเลือกตัดที่จุดระเบิด เพราะคิดว่าน่าจะปลอดภัยหน่อย
คราวนี้ antilag มีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากกล่องฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เราสามารถเปิดลิ้นปีดผีเสื้อให้มากขึ้น เพื่อให้อากาศเข้าห้องเผ่าไหม้ได้มากขึ้น แน่นอนเมื่อเราถอนคันเร่งสุด ยังมีอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์มากและมีการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนเหมื่อนเดิม การระเบิดย่อมรุนแรงกว่าเดิม แต่รอบเครื่องยนต์ก็จะเร่งสูง รอบเครื่องยนต์จะถูกจัดการโดยการโปรแกรมของจูนเนอร์ให้รอบอยู่ที่เท่าไหร่ โดยการเข้าไปบอกที่ระบบ antilag ของกล่องและจะต้องจัดการเรื่องการจุดระเบิดและการจ่ายน้ำมันรอบเดินเบาช่วยพอสมควร

เริ่มงงเหมื่อนกันจัดลำดับก่อนหลังไม่ค่อยถูกแฮะ ทำความเข้าใจเอาเองน่ะ

คราวนี้เมื่อเราเปิดลิ้นมาก antilag ก็มีประสิทธิ์มากระเบิดขึ้นเสียงดังขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสมบูรณืที่สุด จะต้องMIX เชื้อเพลิงเข้าไปด้วย ให้การจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการจ่ายน้ำมันเข้าไปให้พอเหมาะ ถ้าน้อยมีเสียงระเบิดแต่ไม่มีประสิทธิ์ภาพเนื่องจากไม่ต่อเนื่อง ถ้าใส่น้ำมันมากก็จะตอบสนองช้าและไม่มีเสียงอะไรเลย ถ้าพอดีจะมีเสียงดัง "ปรื๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พร้อมกับไอเสียที่มีความร้อนถึง 1200-1400 องศาเซลเซียล สาเหตุที่ทำให้ความร้อนสูงเนื่องมาจากการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนมากๆ อาจจะมากถึง 60-80 องศา ฉนั้นก็เหลือจังหวะระเบิดแค่ 100-120 องศา ก่อนที่จะถึงจังหวะคาย แน่นอนการเผ่าไหม้ยังไม่ทันหมด วาล์วไอเสียก็เปิดแล้ว ทำให้เราเห็นไฟพ่นออกมาพร้อมกับค่าความร้อนที่ท่อไอเสียที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเองครับ

ถึงตอนนี้ antilag ก้ยังคงมีการพัฒนาต่อเพียงแต่อยู่ในพื้นฐานเดิม จูนเนอร์ก็ MIX กันไปตามที่ชอบ จะได้ประโยชน์สูงสุดของระบบ antilag หรือไม่ อันนี้ไม่รู้ เพราะบางทีความชอบเสียงระเบิดของลูกค้าก็ทำให้ระบบไม่เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน เนื่องจากใบเทอร์บายหมุนไม่ต่อเนื่องอย่างนี้เป้นต้น

เชื่อไหมว่าการใช้ antilag กับการแข่งขันแบบทางตรง (402) ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เร็วขึ้นแต่ทำให้ช้าลงด้วยซ้ำ หรืออาจจะไม่ได้ใช้งานเลยสักครั้งก็เป็นได้ ส่วนให้การขับทางต่อนักขับมักจะไม่ยกคันเร่งกันอยู่แล้ว แล้วantilagจะทำงานได้อย่างไร

เค้าถึงคิดระบบ Gear Change ignition cut ขึ้นมาเพื่อช่วยให้เร็วขึ้นขณะเปลี่ยนเกียร์ หลักการคือตัดรอบเครื่องให้ต่ำลง เท่ากับอัตราทดเกียร์ที่เราต้องการ โดยที่คนขับไม่ต้องยกคันเร่ง แถมด้วยเทอร์โบที่ยังคงบูสสูงสุดอยู่ อันนี้ก็หลักการเดียวกับ antilag นั้นแหละ แตกต่างกันตรงที่ใช้การเหยียบคลัชเป็นตัวสั่งงานว่าเราจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อไหร่ เครื่องจะถูกลดรอบลงตามที่เราสั่งงานไว้ ที่ยังคงบูสอยู่เนื่องจาก เรายังเหยียบคันเร่งอยู่ 100% พร้อมกับที่กล่องสั่งให้จุดระเบิดที่หลังศูนย์ตายบนมากๆ เมื่อเราปล่อยคลัชระบบก็จะถูกตัดออกเท่านั้นเอง

การออกตัวที่มีประสิทธิ์ภาพเราก็ใช้หลัการเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อเป็น Dual RPM หรือ MissFiring อันนี้เอาไว้ช่วยตอนออกตัว สามารถมีบูสมารอได้เช่นกัน ถ้ารู้จักปรับแต่งให้ดี
Dual RPM เรียกง่ายว่า ล็อครอบออกตัวก็แล้วกัน เมื่อเราบอกกล่องว่าเราจะเริ่มใช้งาน กล่องก็จะตัดรอบตามที่เรากำหนด การตัดรอบก็ทำได้หลายวิธีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือไฟ แต่ยังคงใช้หลักการของ antilag ในการทำให้มีการบูสเกิดขึ้นโดยไม่มีโหลดได้เช่นกัน

หากบูสต์น้องมา น้ำตาพี่ก้อหลั่งงง
 

ออฟไลน์ Kmitl@Ku

  • Boxer's Farmer. เกษตรกรไทยหัวใจบ็อคเซอร์
  • *
  • กระทู้: 710
  • Popular Vote : 26
  • Gc OTOP
ขออนุญาตเอาบทความของอาจารย์ตุ๋ยมาให้อ่านนะครับ

ระบบ Anti-lag และอื่นๆ
บทความนี้ มีประโยชน์ มากๆคับ จาก จารย์ ตุ๋ย กระทิงแดง จุนเนอร์ และนักแข่งแรลลี่ชื่อดังคับ

วงการมอเตอร์สปอร์ตเหมื่อนวงการโทรมือถือหรือคอมพิวเตอร์แหละครับ หยุดวันไหน ล้าหลังทันที มีอยู่ช่วงหนึ่งชอบทำรีสอร์ท ไปมั่วอยุ่ไม่ถึงปี กลับมากอีกที เค้าไปดาวอังคารกันแล้ว แต่ก็ใช้เวลาไม่นานครับ กลับมาเหมื่อนเดิมได้ถ้าหาความรู้ ไม่ปิดกั้นความคิดและยึดติด ส่วนใหญ่คนเรามักจะยึดติดกับความรู้เก่าๆที่ได้เรียนมา

อันนี้ความเข้าใจของผม ผิดถูกไม่รุ้
ครั้งแรกที่รู้จัก antilag ก้หลายปีมาแล้วจำไม่ได้ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ขวบ ยังใช้กล่องไม้ขีดอยู่ เห็นรถWRC เค้าดังๆกันเลยลองค้นหาดูบ้าง ก็ไปรู้จักเจ้า วันเวย์วาล์ว อันนั้นก็คือแอนตี้แล็คชนิดแรกๆที่เรารู้จักกัน ทำงานโดยเอาไอดีที่มีกำลังอัดจากท่ออินเตอร์ถูกปล่อยออกโดยโบอ๊อฟ ควบคุมการไหลกลับจากวันเวย์วาล์ว สามารถทำงานได้จริงเทอร์โบรอรอบน้อยลง แต่สั้นมากเพราะต้องรอกำลังอัดจากท่อไอดีหลังจากยกคันเร่งมาปั่นเทอร์ไบด์หลัง ผลที่ได้รับคือการระเบิด เนื่องจากมีอ๊อกซิเจนเข้าไปเติมไอเสียนอกห้องเผาไหม้(ท่อร่วมไอเสีย)
ต่อมาเพียง 1 ปี ก็มีการระเบิดแบบต่อเนื่องเสียงดังมาก มาให้ดูเป็นของใหม่สำหรับตอนนั้น บางค่ายมีไฟออกมายาวและต่อเนื่องมากๆ เช่นทีมฟอร์ด แต่สังเกตุจากรถแล้วไม่ค่อยไปเลย (เข้าใจเอาเองว่าน่าจะเทน้ำมันออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองช้าลง) อันนี้ก็
antilag เหมื่อนกัน แต่เริ่มต่อเนื่องและยาวขึ้น คนไทยเมื่อก่อนทั้งผมด้วย ชอบอธิบายกันว่าเป็นการจุดระเบิดนอกรอบ ซึ่งที่จริงมันคือการจุดระเบิดการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบน ถ้าคนเชื่อตามที่นักแข่งไทยเล่าให้ฟังสมัยแรกๆแล้วไม่คิดต่อก็คือการจุดระเบิดนอกรอบจริงๆ แต่เมื่อมองจากความเป็นจริงแล้ว จะมีประโยชน์อะไรในการให้หัวเทียนจุดอีกครั้งขณะที่มีการเผ่าไหม้แบบรุนแรงอยุ่แล้ว และจะเป็นไปได้หรือที่จะฉีดน้ำมันเข้าไปเพิ่มขณะที่วาล์วไอดีปิดอยู่ (กรณีจุดครั้งเดียว)
อันนี้แน่นอนก็เป็นระบบ antilag ที่ดีขึ้นสมบูรณ์มากขึ้น โดยการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนถ้าจะให้มีเสียงดังปังก็ต้องจ่ายน้ำมันลงไปด้วยแต่ให้มีปริมาณที่น้อยไม่ใช่มากน่ะครับ อันนี้ชัดเจนว่ารถพุงไปและตอบสนองดีกว่าเดิมเยอะเมื่อถอนคันเร่งและเร่งใหม่ แต่ไม่มีที่สิ้นสุดหรอกครับทุกอย่างต้องพัฒนา ต่อไป
ต่อมาคราวนี้ไม่มีเสียงระเบิดแล้วครับมีแต่เสียง ปรื๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่รถพุ่งไปได้ดีกว่าเดิมอีก เดียวมาอธิบายต่อ

ต่อเลย
ต่อมาก้จะได้เห็นว่าระบบ antilag หรือ Boost Enhancement ก็พัฒนาต่อไป แต่ยังคงต้องอยู่ในพื้นฐานเดิม ที่ถูกเปลี่ยนไปหรือเพิ่มขึ้นก็คือ มีใครเลือกว่าจะตัดด้วยน้ำมัน หรือ ตัดด้วยการจุดระเบิด อันนี้แล้วแต่คนจะเลือกผลที่ได้รับแตกต่างกัน (ผมยังเข้าใจไม่ได้ดีเท่าไหร่)
แต่ผมเลือกตัดที่จุดระเบิด เพราะคิดว่าน่าจะปลอดภัยหน่อย
คราวนี้ antilag มีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากกล่องฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เราสามารถเปิดลิ้นปีดผีเสื้อให้มากขึ้น เพื่อให้อากาศเข้าห้องเผ่าไหม้ได้มากขึ้น แน่นอนเมื่อเราถอนคันเร่งสุด ยังมีอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์มากและมีการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนเหมื่อนเดิม การระเบิดย่อมรุนแรงกว่าเดิม แต่รอบเครื่องยนต์ก็จะเร่งสูง รอบเครื่องยนต์จะถูกจัดการโดยการโปรแกรมของจูนเนอร์ให้รอบอยู่ที่เท่าไหร่ โดยการเข้าไปบอกที่ระบบ antilag ของกล่องและจะต้องจัดการเรื่องการจุดระเบิดและการจ่ายน้ำมันรอบเดินเบาช่วยพอสมควร

เริ่มงงเหมื่อนกันจัดลำดับก่อนหลังไม่ค่อยถูกแฮะ ทำความเข้าใจเอาเองน่ะ

คราวนี้เมื่อเราเปิดลิ้นมาก antilag ก็มีประสิทธิ์มากระเบิดขึ้นเสียงดังขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสมบูรณืที่สุด จะต้องMIX เชื้อเพลิงเข้าไปด้วย ให้การจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการจ่ายน้ำมันเข้าไปให้พอเหมาะ ถ้าน้อยมีเสียงระเบิดแต่ไม่มีประสิทธิ์ภาพเนื่องจากไม่ต่อเนื่อง ถ้าใส่น้ำมันมากก็จะตอบสนองช้าและไม่มีเสียงอะไรเลย ถ้าพอดีจะมีเสียงดัง "ปรื๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พร้อมกับไอเสียที่มีความร้อนถึง 1200-1400 องศาเซลเซียล สาเหตุที่ทำให้ความร้อนสูงเนื่องมาจากการจุดระเบิดหลังศูนย์ตายบนมากๆ อาจจะมากถึง 60-80 องศา ฉนั้นก็เหลือจังหวะระเบิดแค่ 100-120 องศา ก่อนที่จะถึงจังหวะคาย แน่นอนการเผ่าไหม้ยังไม่ทันหมด วาล์วไอเสียก็เปิดแล้ว ทำให้เราเห็นไฟพ่นออกมาพร้อมกับค่าความร้อนที่ท่อไอเสียที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเองครับ

ถึงตอนนี้ antilag ก้ยังคงมีการพัฒนาต่อเพียงแต่อยู่ในพื้นฐานเดิม จูนเนอร์ก็ MIX กันไปตามที่ชอบ จะได้ประโยชน์สูงสุดของระบบ antilag หรือไม่ อันนี้ไม่รู้ เพราะบางทีความชอบเสียงระเบิดของลูกค้าก็ทำให้ระบบไม่เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน เนื่องจากใบเทอร์บายหมุนไม่ต่อเนื่องอย่างนี้เป้นต้น

เชื่อไหมว่าการใช้ antilag กับการแข่งขันแบบทางตรง (402) ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เร็วขึ้นแต่ทำให้ช้าลงด้วยซ้ำ หรืออาจจะไม่ได้ใช้งานเลยสักครั้งก็เป็นได้ ส่วนให้การขับทางต่อนักขับมักจะไม่ยกคันเร่งกันอยู่แล้ว แล้วantilagจะทำงานได้อย่างไร

เค้าถึงคิดระบบ Gear Change ignition cut ขึ้นมาเพื่อช่วยให้เร็วขึ้นขณะเปลี่ยนเกียร์ หลักการคือตัดรอบเครื่องให้ต่ำลง เท่ากับอัตราทดเกียร์ที่เราต้องการ โดยที่คนขับไม่ต้องยกคันเร่ง แถมด้วยเทอร์โบที่ยังคงบูสสูงสุดอยู่ อันนี้ก็หลักการเดียวกับ antilag นั้นแหละ แตกต่างกันตรงที่ใช้การเหยียบคลัชเป็นตัวสั่งงานว่าเราจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อไหร่ เครื่องจะถูกลดรอบลงตามที่เราสั่งงานไว้ ที่ยังคงบูสอยู่เนื่องจาก เรายังเหยียบคันเร่งอยู่ 100% พร้อมกับที่กล่องสั่งให้จุดระเบิดที่หลังศูนย์ตายบนมากๆ เมื่อเราปล่อยคลัชระบบก็จะถูกตัดออกเท่านั้นเอง

การออกตัวที่มีประสิทธิ์ภาพเราก็ใช้หลัการเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อเป็น Dual RPM หรือ MissFiring อันนี้เอาไว้ช่วยตอนออกตัว สามารถมีบูสมารอได้เช่นกัน ถ้ารู้จักปรับแต่งให้ดี
Dual RPM เรียกง่ายว่า ล็อครอบออกตัวก็แล้วกัน เมื่อเราบอกกล่องว่าเราจะเริ่มใช้งาน กล่องก็จะตัดรอบตามที่เรากำหนด การตัดรอบก็ทำได้หลายวิธีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือไฟ แต่ยังคงใช้หลักการของ antilag ในการทำให้มีการบูสเกิดขึ้นโดยไม่มีโหลดได้เช่นกัน


:bbbear_34: :bbbear_17:

ออฟไลน์ pomaru

  • SRS MEMBER
  • *
  • กระทู้: 919
  • Popular Vote : 17
  • WE LOVE SUBARU
    • อีเมล์
ผมจะขอพูดถึง anti lagเป็นหลักนะครับ

ข้อเสีย

 1. อย่างน้อยๆก็ต้องเสียตังค์ซ่อมระบบไอเสียบ่อยมาก ยิ่งมี anti lag ยิ่งซ่อมบ่อย โดยเฉพาะ

 รอยเชื่อม ปะเก็นและข้อต่อต่างๆตั้งแต่เฮดยันฟร้อนไป้ป์ (รวมๆแล้วคงซื้อเฮดใหม่ได้อีกชุดแล้วสำหรับผม)

 ถ้าตรวจสอบเองได้จะดีมาก จะช่วยได้เยอะเพราะบางที

 ช่างเองก็ยังหาจุดรั่วลำบาก ในบางกรณี

 2. สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น เพราะการจะจูนแล้วมีการระเบิดตามมาในระบบไอเสีย

 เท่าที่ทราบ 1.ไฟอ่อน 2. น้ำมันหนา 3.ตั้งใจให้เกิด อยู่ที่กล่องและจูนเนอร์ด้วย

 3. ถ้า anti lag อันนี้ช่วงต่อเกียร์เห็นผลพอสมควร แต่จะมีผลเสียกับโข่งหลัง ใบหลัง

 และระบบไอเสียอย่างมาก(แนะนำให้ใช้ยามจำเป็นจริงๆเท่านั้นถ้าอยู่บนถนน)

 4. เทอร์โบพังเร็วมาก ผมเปลี่ยนปีละ 1 ลูก (ไม่ได้ใช้รถทุกวันด้วยครับ)

 5.หัวเทียนบอดเร็ว
 
 ข้อดี

 1. ช่วงต่อเกียร์ดีมาก (anti lag) ถ้าจูนหนาๆให้มันระเบิดอย่างเดียวอันนี้
 
  ไม่ค่อยรู้สึก เท่าที่สัมผัสมา

 2. จังหวะออกจากโค้ง หรือ ออกตัว โดดดึ๋งๆลอยๆเลยครับ (แต่มันมีจังหวะของมันนะ)

 3. หล่อ  ตรงที่มันระเบิดนี่แหละ(ดังมาากกก) แต่คนส่วนใหญ่(ทั่วไป)ไม่ชอบ

 4. เท่าที่ทราบจากจูนเนอร์ บอกว่ามันจะช่วยไล่ความร้อนในระบบด้วยอันนี้ไม่นับanti lag นะครับ



  เท่าที่นึกๆมาผมนึกได้เท่านี้ ถ้านึกได้เพิ่ม จะมาเพิ่มให้อีกนะครับ

 ปล.ปัจจุบันผมยังใช้ anti lag อยู่บ้าง แต่99.98% เวลาใช้รถ ผมปิดไว้ครับ
 
 แต่ถึงจะปิดระบบไว้ เวลายกคันเร่ง ก็มีบางจังหวะที่มันระเบิดออกมาบ้าง



  เรื่องเกียร์รอพี่ๆท่านอื่นแล้วกันนะครับ

  แต่ 350-400 เท่าที่เห็นๆกันก็ยังไม่พังนะครับ แต่ถ้าเกิน 400 ไปแล้วนี่ แนะนำ 6 speed เท่านั้นครับ

 

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 09:01:02 AM โดย pomaru »

ออฟไลน์ Tabuu

  • *
  • กระทู้: 1,937
  • Popular Vote : 48
  • "บุญมี"
คนข้างๆ มันสะดุ้งนะ

 :bbbear_39:
"KOYORAD" and "Dixcel" Thailand Authorized Distributor

ออฟไลน์ TAKUMI_RPS13

  • *
  • กระทู้: 414
  • Popular Vote : 16
รถผม200sx เคยคิดจะซื้อตัวนี้มาใช้ตามรูปอะเขาเรียกว่า Misfiring ล็อกรอบออกตัวเวลาออกตัวบูสมันจะไปดันที่เราตั้งไว้

มันจะ ปุ่งๆๆๆๆๆๆๆ เหมือนพวกรถแข่ง Drag เวลาออกตัวใช้ ไม่รู้เหมือนกันไหมครับแต่ผมว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงละแต่พอผมถาม

พี่ๆหลายๆอู่เขาบอกว่ามันไม่เหมาะกับโบเล็กและโบ std. มันจะกินใบหลังหมดผมเลยยกเลิกความคิดไปโบผมเดิมๆแต่มันหล่ออะ

ตอนออกตัว
  :bbbear_43:


ขอยืมรูปเจ้าของมานะขอบคุณครับ
OTTO SHOP & พี่แดงUnion & TOON ENGIN
Chan inter & Prechar HT พี่1Hai & สนามเป้า

ออฟไลน์ CaptaiN

  • "อย่าจี้ตูด เดี๋ยวปู๊ดให้ดม กร๊ากกก"
  • *
  • กระทู้: 878
  • Popular Vote : 23
  • I BELIEVE. I CAN FLY.
    • อีเมล์
เคยขับตามตูดพี่ท่านนี้ กันชนหน้าผมแทบไหม้ 555555 :bbbear_36:

ผมจะขอพูดถึง anti lagเป็นหลักนะครับ

ข้อเสีย

 1. อย่างน้อยๆก็ต้องเสียตังค์ซ่อมระบบไอเสียบ่อยมาก ยิ่งมี anti lag ยิ่งซ่อมบ่อย โดยเฉพาะ

 รอยเชื่อม ปะเก็นและข้อต่อต่างๆตั้งแต่เฮดยันฟร้อนไป้ป์ (รวมๆแล้วคงซื้อเฮดใหม่ได้อีกชุดแล้วสำหรับผม)

 ถ้าตรวจสอบเองได้จะดีมาก จะช่วยได้เยอะเพราะบางที

 ช่างเองก็ยังหาจุดรั่วลำบาก ในบางกรณี

 2. สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น เพราะการจะจูนแล้วมีการระเบิดตามมาในระบบไอเสีย

 เท่าที่ทราบ 1.ไฟอ่อน 2. น้ำมันหนา 3.ตั้งใจให้เกิด อยู่ที่กล่องและจูนเนอร์ด้วย

 3. ถ้า anti lag อันนี้ช่วงต่อเกียร์เห็นผลพอสมควร แต่จะมีผลเสียกับโข่งหลัง ใบหลัง

 และระบบไอเสียอย่างมาก(แนะนำให้ใช้ยามจำเป็นจริงๆเท่านั้นถ้าอยู่บนถนน)

 4. เทอร์โบพังเร็วมาก ผมเปลี่ยนปีละ 1 ลูก (ไม่ได้ใช้รถทุกวันด้วยครับ)

 5.หัวเทียนบอดเร็ว
 
 ข้อดี

 1. ช่วงต่อเกียร์ดีมาก (anti lag) ถ้าจูนหนาๆให้มันระเบิดอย่างเดียวอันนี้
 
  ไม่ค่อยรู้สึก เท่าที่สัมผัสมา

 2. จังหวะออกจากโค้ง หรือ ออกตัว โดดดึ๋งๆลอยๆเลยครับ (แต่มันมีจังหวะของมันนะ)

 3. หล่อ  ตรงที่มันระเบิดนี่แหละ(ดังมาากกก) แต่คนส่วนใหญ่(ทั่วไป)ไม่ชอบ

 4. เท่าที่ทราบจากจูนเนอร์ บอกว่ามันจะช่วยไล่ความร้อนในระบบด้วยอันนี้ไม่นับanti lag นะครับ



  เท่าที่นึกๆมาผมนึกได้เท่านี้ ถ้านึกได้เพิ่ม จะมาเพิ่มให้อีกนะครับ

 ปล.ปัจจุบันผมยังใช้ anti lag อยู่บ้าง แต่99.98% เวลาใช้รถ ผมปิดไว้ครับ
 
 แต่ถึงจะปิดระบบไว้ เวลายกคันเร่ง ก็มีบางจังหวะที่มันระเบิดออกมาบ้าง



  เรื่องเกียร์รอพี่ๆท่านอื่นแล้วกันนะครับ

  แต่ 350-400 เท่าที่เห็นๆกันก็ยังไม่พังนะครับ แต่ถ้าเกิน 400 ไปแล้วนี่ แนะนำ 6 speed เท่านั้นครับ

 

 

 
ถ้าคุณแน่.....อย่าแพ้ขับ4

ออฟไลน์ pomaru

  • SRS MEMBER
  • *
  • กระทู้: 919
  • Popular Vote : 17
  • WE LOVE SUBARU
    • อีเมล์
อ้างถึง
เคยขับตามตูดพี่ท่านนี้ กันชนหน้าผมแทบไหม้ 555555

   :bbbear_24: :bbbear_32: :bbbear_43:

ออฟไลน์ kanzzaa

  • ยกก็แพ้ แช่ก็พัง
  • *
  • กระทู้: 1,570
  • Popular Vote : 62
  • Symmetrical All-Wheel Drive
    • อีเมล์
ผมจะขอพูดถึง anti lagเป็นหลักนะครับ

ข้อเสีย

 1. อย่างน้อยๆก็ต้องเสียตังค์ซ่อมระบบไอเสียบ่อยมาก ยิ่งมี anti lag ยิ่งซ่อมบ่อย โดยเฉพาะ

 รอยเชื่อม ปะเก็นและข้อต่อต่างๆตั้งแต่เฮดยันฟร้อนไป้ป์ (รวมๆแล้วคงซื้อเฮดใหม่ได้อีกชุดแล้วสำหรับผม)

 ถ้าตรวจสอบเองได้จะดีมาก จะช่วยได้เยอะเพราะบางที

 ช่างเองก็ยังหาจุดรั่วลำบาก ในบางกรณี

 2. สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น เพราะการจะจูนแล้วมีการระเบิดตามมาในระบบไอเสีย

 เท่าที่ทราบ 1.ไฟอ่อน 2. น้ำมันหนา 3.ตั้งใจให้เกิด อยู่ที่กล่องและจูนเนอร์ด้วย

 3. ถ้า anti lag อันนี้ช่วงต่อเกียร์เห็นผลพอสมควร แต่จะมีผลเสียกับโข่งหลัง ใบหลัง

 และระบบไอเสียอย่างมาก(แนะนำให้ใช้ยามจำเป็นจริงๆเท่านั้นถ้าอยู่บนถนน)

 4. เทอร์โบพังเร็วมาก ผมเปลี่ยนปีละ 1 ลูก (ไม่ได้ใช้รถทุกวันด้วยครับ)

 5.หัวเทียนบอดเร็ว
 
 ข้อดี

 1. ช่วงต่อเกียร์ดีมาก (anti lag) ถ้าจูนหนาๆให้มันระเบิดอย่างเดียวอันนี้
 
  ไม่ค่อยรู้สึก เท่าที่สัมผัสมา

 2. จังหวะออกจากโค้ง หรือ ออกตัว โดดดึ๋งๆลอยๆเลยครับ (แต่มันมีจังหวะของมันนะ)

 3. หล่อ  ตรงที่มันระเบิดนี่แหละ(ดังมาากกก) แต่คนส่วนใหญ่(ทั่วไป)ไม่ชอบ

 4. เท่าที่ทราบจากจูนเนอร์ บอกว่ามันจะช่วยไล่ความร้อนในระบบด้วยอันนี้ไม่นับanti lag นะครับ



  เท่าที่นึกๆมาผมนึกได้เท่านี้ ถ้านึกได้เพิ่ม จะมาเพิ่มให้อีกนะครับ

 ปล.ปัจจุบันผมยังใช้ anti lag อยู่บ้าง แต่99.98% เวลาใช้รถ ผมปิดไว้ครับ
 
 แต่ถึงจะปิดระบบไว้ เวลายกคันเร่ง ก็มีบางจังหวะที่มันระเบิดออกมาบ้าง



  เรื่องเกียร์รอพี่ๆท่านอื่นแล้วกันนะครับ

  แต่ 350-400 เท่าที่เห็นๆกันก็ยังไม่พังนะครับ แต่ถ้าเกิน 400 ไปแล้วนี่ แนะนำ 6 speed เท่านั้นครับ
เพิ่มเติมข้อเสียครับ หลักๆเลย โดนที่บ้านและเพื่อนบ้านด่าครับ :bbbear_27: :bbbear_15: