ผู้เขียน หัวข้อ: ดาวโจนส์พลิกดีดตัวแดนบวก หลังร่วงกว่า 100 จุดในช่วงแรก  (อ่าน 504 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ deam205

  • *
  • กระทู้: 1,097
  • Popular Vote : 0

ดัชนีดาวโจนส์พลิกปรับตัวในแดนบวกวันนี้ หลังร่วงลงกว่า 100 จุดในช่วงแรก ขณะที่ตลาดปรับฐานหลังจากพุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 วัน

ณ เวลา 01.20 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,809.33 จุด บวก 54.58 จุด หรือ 0.15%

ดัชนีดาวโจนส์ได้ปัจจัยบวก หลังสหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 184,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2512 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 211,000 ราย

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งหากสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 6.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2525

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นรวมแล้วเกือบ 1,200 จุดในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19

"คุณมาร์ก เซบาสเตียนมองว่า ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่าดัชนี S&P 500 จะดีดตัวขึ้นไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขา" นายจิม เครเมอร์ พิธีกรรายการ "Mad Money" ของสถานีข่าว CNBC กล่าว

ทั้งนี้ นายเซบาสเตียน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ OptionPit.com มีความพอใจต่อการปรับตัวของดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยดัชนีดังกล่าวดิ่งลงอย่างรวดเร็ว หลังจากพุ่งขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ย.และต้นเดือนธ.ค.

"ดัชนี VIX บ่งชี้ว่าขณะนี้ผู้จัดการกองทุนรายใหญ่เริ่มกลับมาแล้ว หลังจากตลาดเกิดความผันผวนมาระยะหนึ่ง" นายเครเมอร์กล่าว
นายเครเมอร์กล่าวว่า การทรุดตัวของตลาดหุ้นก่อนหน้านี้ ไม่ได้สร้างความประหลาดใจต่อนายเซบาสเตียน เนื่องจากเขาเคยเตือนเกี่ยวกับการที่ดัชนี VIX ได้เริ่มปรับตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนต.ค.ควบคู่กับการดีดตัวขึ้นของดัชนี S&P 500 ในช่วงเดือนพ.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญแรงเทขายในไม่ช้า

"ตราบใดที่ดัชนี VIX ยังคงร่วงลงต่อไป คุณเซบาสเตียนก็มองว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงซานต้า แรลลี่ที่ผมมักพูดถึง โดยปรากฎการณ์นี้จะเกิดขึ้นในปลายเดือนนี้ และจะส่งให้ดัชนี S&P 500 พุ่งแตะ 5,000 จุด จาก 4,700 จุดในขณะนี้" นายเครเมอร์กล่าว
ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่

จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471

ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นร้อนแรงมากที่สุดของปี

ข้อมูลระบุว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 2.3% ในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่ปี 2479 และดัชนีปรับตัวเป็นบวกในเดือนธ.ค.คิดเป็นสัดส่วน 79% นับตั้งแต่ปีดังกล่าว

ด้านนายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5,050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี

"เรามองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง และเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ โดยสภาวะตลาดกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19" นายโคลาโนวิชกล่าว
นอกจากนี้ นายโคลาโนวิชกล่าวว่า นักลงทุนสามารถเชื่อมั่นในการดีดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในรอบนี้

"ตลาดได้ตื่นตระหนกจนเกินเหตุเมื่อได้ทรุดตัวลงในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หลังมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยนักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างรวดเร็วจากข่าวซึ่งเชื่อถือไม่ได้ และขณะนี้ตลาดก็ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว" นายโคลาโนวิชกล่าว
นายโคลาโนวิชออกรายงานระบุว่า ภาวะตลาดที่ปั่นป่วนในขณะนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดประเทศและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

"แม้ว่าโอมิครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต และเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการแพร่ระบาดใกล้ยุติแล้ว" รายงานระบุ