ผู้เขียน หัวข้อ: เคพีเอ็มจี: ยอดเงินลงทุนในฟินเทคสำหรับปี 2564 สูงถึง 210,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  (อ่าน 386 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ luktan1479

  • *
  • กระทู้: 1,132
  • Popular Vote : 0
เคพีเอ็มจี: ยอดเงินลงทุนในฟินเทคสำหรับปี 2564 สูงถึง 210,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเงินลงทุนในคริปโทและบล็อกเชนที่พุ่งขึ้น

ในปี 2564 มีการลงทุนในฟินเทคกว่า 5,684 ครั้ง ทำให้เงินลงทุนในฟินเทคทั่วโลกรวมแล้วกว่า 210,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวม Venture Capital, Private Equity และ Merger & Acquisition) (ยอดลงทุน 101,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งปีหลัง) ซึ่งถือเป็นปีที่มียอดสูงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์
การลงทุนในเทคโนโลยีการชำระเงิน (Payment) นั้นมียอด 51,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 29,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563
การลงทุนในบล็อกเชนและคริปโทพุ่งทะยานขึ้นจาก 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 เป็น 30,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564
จากรายงาน Pulse of Fintech H2'21 ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับเทรนด์การลงทุนในเทคโนโลยีทางด้านการเงิน (Fintech) ที่จัดทำขึ้นปีละสองครั้งโดยเคพีเอ็มจี พบว่าในปี 2564 การลงทุนใน Fintech ทั่วโลกผ่านการควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition - M&A) การลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity - PE) และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital - VC) มียอดรวมสูงถึง 210,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำดีล (Deals) ทั้งสิ้น 5,684 ครั้ง ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยยอดเงินลงทุนใน Fintech ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 (H2'21) อยู่ที่ 101,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งต่ำกว่าครึ่งแรกของปี (H1'21) ซึ่งมียอดเงินลงทุนที่ 109,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเล็กน้อยดีลการลงทุนในบริษัท Fintech ที่ใหญ่ที่สุดของช่วงครึ่งหลังของปี 2564 มีมูลค่า 9,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการที่บริษัท Nexi ที่ตั้งอยู่ในอิตาลี ซื้อบริษัท Nets ซึ่งเป็นบริษัทในเดนมาร์กที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับระบบชำระเงิน (Payments processor) รองลงมาคือ การควบรวมของ Calypso Technology ที่ทำระบบคลาวด์ (Cloud) เข้ากับ AxiomSL ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการกำกับดูแล (RegTech) เพื่อจัดตั้งบริษัท Adenza ในสหรัฐอเมริกาด้วยทุนจดทะเบียน 3,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการซื้อบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น Paidy โดย PayPal ด้วยเงิน 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในครึ่งหลังของปี 2564 มี VC สี่ดีลที่สามารถระดมทุนได้เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ 1) บริษัท Generate ในสหรัฐอเมริการะดมทุนได้ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2) ธนาคาร NuBank ในบราซิลระดมทุนได้ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3) บริษัท Chime ในสหรัฐอเมริการะดมทุนได้ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4) บริษัท FTX ในบาฮามาสที่ระดมทุนได้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐระบบการชำระเงินยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่สามารถระดมทุนได้มากที่สุด โดยในปี 2564 สามารถระดมทุนทั่วโลกรวมกันได้ 51,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 29,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 อันเนื่องมาจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในธุรกิจรูปแบบ "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" โดยการชำระเงินที่ฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการ (Embedded banking) และการที่สถาบันการเงินเปิดให้เชื่อมต่อ API ได้ (Open Banking) ทำให้ธุรกิจด้านการชำระเงินนั้นได้รับความสนใจเสมอมา นอกจากนี้ บล็อกเชนและคริปโท เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและสามารถระดมทุนได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 30,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มจาก 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 และมากกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2561 ถึงสามเท่าที่ 8,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber security) สามารถระดมทุนได้ 4,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเทคโนโลยีการลงทุนบริหารความมั่งคั่ง (Wealthtech) สามารถระดมทุนได้ 1,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกลุ่มธุรกิจสองกลุ่มหลังนี้ต่างระดมทุนได้สูงสุดในประวัติการณ์เช่นกัน"2564 เป็นปีที่รุ่งเรืองสำหรับตลาดฟินเทคทั่วโลก เนื่องจากจำนวนดีลเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในทุกกลุ่มธุรกิจ"

แอนทอน รูเด็นคลาว หัวหน้าฝ่ายกลุ่มธุรกิจฟินเทค เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว "เราเห็นความสนใจที่ล้นหลามในธุรกิจฟินเทค และมีการระดมทุนได้มากสุดในกลุ่มธุรกิจบล็อกเชนและคริปโท Cyber security และ Wealthtech ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีด้านการชำระเงินยังเป็นตัวแปรสำคัญในการผลักดันการลงทุนและการขยายตัวของอุตสาหกรรมฟินเทคที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน"

ประเด็นสำคัญในปี 2564

ในปี 2564 การลงทุนในฟินเทคของทั่วโลกอยู่ที่ 210,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่าน 5,684 ดีล ซึ่งเพิ่มจาก 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก 3,674 ดีลในปี 2563
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการชำระเงินเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุดในปี 2564 โดยมีการลงทุนทั่วโลกสูงถึง 51,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การลงทุนในบล็อกเชนและคริปโท (Blockchain and Crypto) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber security) และเทคโนโลยีการบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ทำยอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30,200 4,850 และ 1,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
นอกจากนี้ ในปี 2564 การลงทุนในเทคโนโลยีการประกันภัย (Insurtech) และเทคโนโลยีด้านการกำกับดูแล (RegTech) ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนโดยมียอดการลงทุนอยู่ที่ 14,400 และ 9,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
การควบรวมกิจการฟินเทคระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า (ปีต่อปี) อยู่ที่ 36,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดรวมการควบรวมกิจการชองฟินเทคเพิ่มขึ้นจาก 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 เป็น 83,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564
การลงทุนในฟินเทคในรูปแบบ PE เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากสถิติเดิม คือ มีการลงทุนทั้งหมด 12,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 เมื่อเทียบกับสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2561 ที่ 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การลงทุนจาก VC ในกลุ่มธุรกิจฟินเทคทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว (ปีต่อปี) จาก 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 2563 เป็น 115,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 โดยค่ากลาง (median) ของขนาดของดีลปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทุกระยะ (stage) ในช่วงปี 2563-2564 ตั้งแต่ระยะ Angel and Seed stage (เพิ่มขึ้นจาก 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ระยะ Early stage funding (เพิ่มขึ้นจาก 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และระยะ Late Stage (เพิ่มขึ้นจาก 12,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 24,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ในปี 2564 การลงทุนในฟินเทคในทวีปอเมริกาทั้งหมดมียอดรวมอยู่ที่ 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้รวมยอดการระดมทุนแบบ VC ที่ 64,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 88,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมการระดมทุนแบบ VC ที่ 52,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยอดรวมการลงทุนในฟินเทคในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) มียอดรวมที่ 77,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมการระทุนแบบ VC 31,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการลงทุนในฟินเทคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคนั้นเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 2563 เป็น $27,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 2564
ในปี 2564 บริษัทในเครือขององค์กรขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อบริหารกองทุนที่ได้รับจัดสรรจากบริษัทแม่(Corporate venture capital) มีการลงทุนอย่างกว้างขวางในฟินเทค โดยมียอดรวม 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็น 29,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในทวีปอเมริกา และ 11,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน EMEA
2564 เป็นปีที่มีการลงทุนเพิ่มสูงสุดในกลุ่มธุรกิจคริปโทและบล็อกเชน ที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐการลงทุนในคริปโทและบล็อกเชนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่และปริมาณดีลก็เพิ่มขึ้นจาก 627 ครั้งเป็น 1,332 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวอย่างดีลการลงทุนขนาดใหญ่ของคริปโตและบล็อกเชนในช่วงที่ผ่านมา เช่น การระดมทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐของบริษัท FTX ซึ่งตั้งอยู่ที่บาฮามาส การระดมทุน 767 ล้านดอลลาร์สหรัฐของบริษัท NYDIG ในสหรัฐอเมริกา และการระดมทุน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยบริษัท Celsius Network การลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและปริมาณดีลที่เพิ่มมากขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของคริปโทและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสำหรับระบบการเงินยุคใหม่นอกจากนี้ ในปี 2564 Cyber security และ Wealthtech ต่างมียอดลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ซึ่งการลงทุนใน Cyber security มีมูลค่ารวม 4,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐและการลงทุนใน Wealthtech มีรวมมูลค่า 1,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐการควบรวมกิจการระหว่างประเทศมีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยมีมูลค่ารวม 32,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐหลังจากมูลค่าการควบรวมกิจการระหว่างประเทศปรับตัวลดลงมาสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีในปี 2563 ที่ 10,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การควบรวมกิจการข้ามพรมแดนสำหรับธุรกิจฟินเทคกลับมาขยายตัวกว่าสามเท่าเมื่อเทียบปีต่อปีเป็น 36,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 นอกจากนี้ปริมาณดีลยังเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 275 ดีล ซึ่งมีการทำดีลอย่างคึกคักตลอดปี 2564 ในครึ่งปีแรก ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนซื้อบริษัท Refinitiv จากสหรัฐอเมริกาด้วยราคา 14,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Nasdaq บริษัทสัญชาติอเมริกันได้ซื้อบริษัทจากแคนาดาชื่อ Verafin ในราคา 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนในครึ่งปีหลังบริษัท Nexi ในอิตาลีซื้อบริษัท Nets จากเดนมาร์กด้วยราคา 9,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัท PayPal ซื้อบริษัท Paidy จากญี่ปุ่นด้วยราคา 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐการระดมแบบ VC ในทวีปอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว โดยทำลายสถิติใหม่ที่ 64,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐยอดรวมการลงทุนในฟินเทคในทวีปอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 83,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 เป็น 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 ($53,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งปีหลังของปี 2564) การระดมทุน VC มียอดรวม 64,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 ซึ่งมากกว่าปี 2563 ที่มียอดลงทุน 24,800 ดอลลาร์สหรัฐกว่าเท่าตัว ในภาพรวมทวีปอเมริกามียอดเงินลงทุนในฟินเทคในปี 2564 เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยบริษัทในสหรัฐอเมริกายังคงดึงดูดนักลงทุนในฟินเทคได้มากที่สุดในทวีปอเมริกา ซึ่งการลงทุนในฟินเทคในสหรัฐอเมริกามียอดรวมที่ 88,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 (44,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งปีหลังของปี 2564) ตามด้วยการลงทุนในแคนาดาที่ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบราซิลที่ 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐยอดระดมทุนจาก VC ในยุโรปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงแม้ว่าการทำ M&A จะลดลงโดยรวมแล้วการลงทุนในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) นั้นสูงขึ้นและได้ทำลายสถิติของปีที่ผ่านมา โดยมียอดรวมการลงทุนในฟินเทคอยู่ที่ 77,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 (29,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งปีหลังของปี 2564) การระดมทุนแบบ VC ใน EMEA ก็ทำลายสถิติด้วยเช่นกันโดยที่มียอดระดมทุนรวม 31,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรวมการระดมทุน 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐของบริษัท N26 จากประเทศเยอรมนี และการระดมทุน 800 ล้านดอลลาร์ของบริษัทจากสหราชอาณาจักรชื่อ Revolut ในครึ่งปีหลังของปี 2564 ส่วนทางด้านในฟินเทคนั้น ค่อนข้างกว้างขวางใน โดยการลงทุนใน EMEA มีการทำลายยอดสถิติเดิมในหลายภูมิภาค ได้แก่ ประเทศแถบนอร์ดิกที่ 18,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศเยอรมนีที่ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไอร์แลนด์ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทวีปแอฟริกาที่ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศอิสราเอลที่ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐยอดลงทุนในฟินเทคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 27,500 ล้านดอลลาร์หรัฐในปี 2563 ยอดลงทุนในฟินเทคลดลงเหลือเพียง 14,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ยอดระดมทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 27,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 (17,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในครึ่งปีหลังของปี 2564) การระดมทุนแบบ VC ก็ฟื้นตัวเช่นกัน โดยเพิ่มจาก 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 เป็น 19,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 นอกจากนี้ ในปี 2564 ยังมีการทำลายสถิติการลงทุนในฟินเทคในประเทศอินเดียที่ 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศเกาหลีใต้ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การลงทุนในประเทศสิงคโปร์และประเทศออสเตรเลียก็มีความคึกคักเช่นกันที่ 4,000 และ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

การเติบโตยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ M&Aในปี 2565 นี้ คาดการณ์ว่าการลงทุนในฟินเทคยังคงมีความคึกคัก โดยมีการลงทุนจะกระจายตัวไปยังตลาดที่ยังเติบโตไม่มากนัก เช่น แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลาตินอเมริกา อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าการทำ M&A จะเพิ่มสูงขึ้น โดยที่มูลค่าดีลจะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากทั้งองค์กรใหญ่และบริษัทฟินเทคต่างต้องการที่สร้างการเติบโต นอกจากนี้ คาดว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social and Governance - ESG) และการปรับปรุงระบบการทำงานของภาคธนาคาร (core banking modernization) จะได้รับความสำคัญมากขึ้นในระยะถัดไป ทั้งนี้ บริษัทฟินเทคพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับข้อมูล (Data) มากกว่าเป็นเพียงบริษัทฟินเทคอย่างเดียว"ในปี 2565 คาดว่าคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และบล็อกเชนยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยที่บริษัทคริปโทต่างต้องการให้หน่วยงานกำกับดูแลออกแนวทางและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ" แอนทอน รูเด็นคลาวด์ หัวหน้าฝ่ายฟินเทค เคพีเอ็มจรอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว

"นอกจากนี้ ภาคธนาคารเริ่มตระหนักถึงข้อจำกัดที่สำคัญของระบบเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้อยู่ ดังนั้น คาดว่าธนาคารจะมีการลงทุนขนานใหญ่เพื่อยกเครื่องระบบการทำงานของ core banking""เราเห็นเทรนด์การเติบโตในลักษณะเดียวกันนี้ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยการลงทุนในฟินเทคขยายตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศที่มีความต้องการที่จะขยายธุรกิจและกระจายความเสี่ยง (Diversify) อย่างรวดเร็ว" คริสโตเฟอร์ ซาวน์เดอร์ส กรรมการบริหาร เคพีเอ็มจีประเทศไทย กล่าว "การเสนอข้อกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการออกใบอนุญาตธนาคารเสมือน (Virtual bank) จะช่วยผลักดันให้ฟินเทคยังคงเติบโตได้ในระยะกลาง""การลงทุนในสกุลเงินคริปโทก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมีหลายบริษัทได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ธนาคารไทยพาณิชย์เสนอซื้อบริษัท BITKUB และการร่วมมือกันระหว่าง Binance กับบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีเพื่อศึกษาศักยภาพของการจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ" ซาวน์เดอร์สกล่าว "การที่สหรัฐอเมริกาจะออกประกาศเกี่ยวกับคริปโทจะช่วยให้มีแนวทางในการกำกับดูแลที่ชัดเจนมากขึ้นซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลรวมถึงนโยบายด้านการจัดเก็บภาษี อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมนี้จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน แต่คำถามสำคัญคือจะเติบโตรวดเร็วแค่ไหนและอย่างไร"