ขึ้นอยู่กับ ความสัมพันธ์ กันระหว่าง ความเร็วรถ km/h กับ ความเร็วรอบ rpm ครับ
ซึ่งขึ้นอยู่กับ อัตรา ทด เกียร์และเฟืองท้าย ด้วย
สมมุติ ว่า คุณขับอยู่เกียร์ 5 ที่ ความเร็ว 160 ที่รอบ 6000 แล้วต้องการเปลี่ยนเกียร์ ลงมาเกียร์4 โดยปกติ อัตราทดเกียร์ 5spd นะต่างกันจาก 4ไป5 ซึ่งเป็นcrusing gear จะต่างกัน ประมาณ 1500 รอบ
เท่ากับว่า รอบเครื่องของคุณจะขึ้นไปถึง 7500 รอบ ที่ เกียร์ 4
ซึ่งการshift down นั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมด้วยว่า hard or soft ขนาดไหน ยิ่งรุนแรง ภาระ ย่อมเกิด ขึ้น กับ เกียร์ และ ครัช มากขึ้น นอกจากนั้น ยังส่ง แรงเค้นไปที่ก้านสูบ นั่นก็คือความหมาย
ของengine breakนั่นเอง < may b gonna break ur engine :grazy:> จะสังเกตได้ว่า ปกติ ก้านมักจะขาด ไม่ใช่ในจังหวะเร่ง แต่ เป็นจังหวะลดความเร็ว ( ระหว่างเร่ง ส่วนใหญ่ จะ วาวล์ขาด เนื่อง
จาก ความแข็งของสปริงวาวล์ไม่พอ เกิดการกระเพื่อม ของ สปริง และวาวล์ เมื่อเราเพิ่มองศา และ Lift ของแคม และไม่เพิ่มความแข็งของสปริงตาม
อธิบายได้ง่ายๆ ก็คือ พลังงาน ที่ เกิดจากอัตรา เร่ง และ ความเร็ว นั้น ย่อมต้องการที่ไป ย้อนกลับไป ยังแหล่งที่มา ของมัน ก้อคือ เกียร์ และ เครื่องยนต์นั่นล่ะ ครับ
เพราะฉะนั้น เบรคจึงเป็นตัวแปรสำคัญ ตามความหมายของมัน เค้าสร้างเบรคไว้ให้ลดความเร็วของรถ ก้อจงใช้ อย่าใช้เกียร์ในการลดความเร็ว พร่ำเพรื่อ
....ส่วนshift down เพื่อ ต้องการใช้power band ของเกียร์ที่ต่ำลงมา ท่านที่เคยขับbmw M-SMG1-2 หรือ vw dsg จะเห็นว่า เวลาคุณลดเกียร์ลง จะมีอาการ กระตุก น้อยมาก เมื่อเทียบกับรถเกียร์MT ทั่วไป
เนื่องจาก เมื่อ คุณshift down ecu จะสั่งลิ้นคันเร่งให้เบิ้ลรอบเครื่องยนต์มารับกับอัตราที่เปลี่ยนไป ทำให้คุณสามารถใช้ความเร็วในเกียร์ที่ต่ำลงมาได้ในทันที ไม่จำเป็นต้องให้เกิดอาการengine break นั่นเอง
ซึ่งในเกียร์mt นั้น คุณต้องเบิ้ลรอบ รับเอง ซึ่ง เรียกว่าrev matching นั่นเอง ซึ่งสามารถทำให้คุณ ใช้กำลังในpower band ที่เหมาะสมได้ง่ายกว่า
:smokin:
ยาวไปมั้ยเนี่ย ขอให้โชคดีครับ :smokin: