ผู้เขียน หัวข้อ: "เจพีมอร์แกน" ชูเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเต็มที่ปีหน้า ขณะปิดฉากโควิด-19  (อ่าน 502 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • *
  • กระทู้: 931
  • Popular Vote : 0

เจพีมอร์แกน เชส วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ออกรายงานระบุว่า ไวรัสโควิด-19 จะยุติการแพร่ระบาดในปี 2565 และเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปีดังกล่าว

รายงานระบุว่า การที่บริษัทเวชภัณฑ์สามารถผลิตวัคซีนสูตรใหม่และยารักษาโรคโควิด-19 จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นของผู้บริโภค

นายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี

"เรามองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยุติลง และเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ โดยสภาวะตลาดกลับสู่ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19" นายโคลาโนวิชกล่าว
นอกจากนี้ นายโคลาโนวิชกล่าวว่า นักลงทุนสามารถเชื่อมั่นในการดีดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในรอบนี้



"ตลาดได้ตื่นตระหนกจนเกินเหตุเมื่อได้ทรุดตัวลงในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หลังมีข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยนักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างรวดเร็วจากข่าวซึ่งเชื่อถือไม่ได้ และขณะนี้ตลาดก็ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว" นายโคลาโนวิชกล่าว
ก่อนหน้านี้ นายโคลาโนวิชได้ออกรายงานระบุว่า ภาวะตลาดที่ปั่นป่วนในขณะนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดประเทศและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

"แม้ว่าโอมิครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต และเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการแพร่ระบาดใกล้ยุติแล้ว" รายงานระบุ

"โอมิครอนสอดคล้องกับรูปแบบในอดีตที่บ่งชี้ว่า ไวรัสที่มีการแพร่ระบาดมากกว่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จะเข้ามาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งจะทำให้โอมิครอนเป็นตัวเร่งให้การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 กลายเป็นเพียงบางสิ่งที่คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น"

"ถ้าสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น แทนที่ WHO ตั้งชื่อไวรัสสายพันธุ์ล่าสุดนี้ว่า โอมิครอน โดยข้ามอักษรกรีกไป 2 ตัว WHO ควรจะข้ามอักษรกรีกไปทุกตัว และตั้งชื่อไวรัสนี้ว่า โอเมกา ซึ่งเป็นอักษรกรีกตัวสุดท้าย"

"โอมิครอนอาจเป็นตัวเร่งให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชันขึ้น ไม่ใช่แบนราบลง และทำให้นักลงทุนถอนตัวออกจากหุ้นในกลุ่ม growth stock เพื่อเข้าซื้อกลุ่ม value stock และมีการเทขายหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโควิดและมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่ทำให้หุ้นกลุ่มเปิดประเทศดีดตัวขึ้น โดยเรามองว่าการเทขายหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มวัฏจักร, กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มเปิดประเทศ และปรับโพสิชั่นสำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่จะดีดตัวและสูงชันขึ้น" รายงานระบุ
นายโคลาโนวิชยังระบุว่า ตลาดได้ปรับตัวรุนแรงเกินไปต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาก่อนหน้านี้

ทางด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า เดือนธ.ค.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นร้อนแรงมากที่สุดของปี

ข้อมูลระบุว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 2.3% ในเดือนธ.ค.นับตั้งแต่ปี 2479 และดัชนีปรับตัวเป็นบวกในเดือนธ.ค.คิดเป็นสัดส่วน 79% นับตั้งแต่ปีดังกล่าว

การดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในเดือนธ.ค.ได้รับปัจจัยบวกจากปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่

จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471