ผู้เขียน หัวข้อ: กยท.คาดผลผลิตยางปี 65 เพิ่มขึ้นใกล้ 5 ล้านตัน แม้ Q1 เจอโรคใบร่วง-ปิดกรีด  (อ่าน 418 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Prichas

  • *
  • กระทู้: 1,059
  • Popular Vote : 0
กยท.คาดผลผลิตยางปี 65 เพิ่มขึ้นใกล้ 5 ล้านตัน แม้ Q1 เจอโรคใบร่วง-ปิดกรีด

น.ส.อธิวีณ์ แดงกนิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยผลการวิเคราะห์สถานการณ์ยางบนเวที "Talk about Rubber" ครั้งที่ 2 ว่า ในปี 65 มีผลผลิตยางประมาณ 4.905 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.82% แต่ช่วงไตรมาสที่ 1/65 คาดว่าจะมีผลผลิตประมาณ 1.186 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.35% ส่วนเดือนก.พ. และมี.ค. คาดมีผลผลิตประมาณ 0.387 ล้านตัน และ 0.142 ล้านตัน ตามลำดับ

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตยางลดลงในไตรมาส 1 นี้ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลปิดกรีด (พื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออก คาดว่าจะเริ่มปิดกรีดตั้งแต่กลางเดือนก.พ.) และสถานการณ์โรคใบร่วงในพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออก ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 1 ล้านไร่ จึงส่งผลให้ผลผลิตยางออกสู่ตลาดลดลง

ด้านปริมาณการส่งออกยางปี 65 มีประมาณ 4.218 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.03% โดยในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะมีการส่งออกยางประมาณ 1.107 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.29% ในขณะที่สต็อกยางมีแนวโน้มลดลง รวมถึงสต็อกชิงเต่าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้การส่งออกเพิ่มขึ้น

น.ส.อธิวีณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้ยางยังคงขยายตัว เห็นได้จาก ดัชนี PMI ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำ GDP ประเทศสหรัฐอเริกา ญี่ปุ่น ยุโรป ยังคงขยายตัวอยู่เหนือระดับ 50 ส่วนประเทศจีนถึงจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 แต่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ประกอบกับอุตสาหกรรมยางล้อเพิ่มการผลิตสูงขึ้น ยอดขายรถยนต์ในปี 64 มี 77.747 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 4.6% โดยเฉพาะจีนยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 4.3%

ด้าน Association of Natural Rubber Production Countries (ANRPC) คาดว่า การผลิตยางทั้งโลกประมาณ 14.554 ล้านตัน และปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 14.398-14.822 ล้านตัน ภายใต้สมมติฐานว่า การใช้จะขยายตัว 2-5% ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าในปี 65 การผลิตน้อยกว่าปริมาณความต้องการใช้ยาง

สำหรับโอกาสที่ช่วยสนับสนุนยางพาราในปีนี้ ได้แก่ ฤดูกาลและสภาพอากาศ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีความต้องการใช้ถุงมือยาง และชุด PPE มากขึ้น กระแสการลดโลกร้อน ทำให้มีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ความต้องการยางล้อก็เพิ่มขึ้นด้วย และประเทศญี่ปุ่นมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางพาราในปริมาณเพิ่มมากขึ้น เช่น ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง สายยาง

ส่วนความท้าทายของยางพารา ที่เป็นอุปสรรคต่อปริมาณการใช้ยาง ได้แก่ การขาดแคลนชิป Semiconductor ส่งผลต่อปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ต้นทุนการขนส่งที่แพงขึ้น การเคลียร์สินค้าช้ากว่าปกติ ส่งผลต่อ Supply Chain

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ RUBBER WAY เป็นความร่วมมือระหว่าง กยท. กับ บริษัท RUBBER WAY PTE Ltd. โดยมีบริษัทผู้ผลิตล้อยางรายใหญ่ของโลกให้การสนับสนุน ได้แก่ กลุ่มมิชลินและคอนติเนนเทิล โดยใช้แอพพลิเคชั่น RUBBER WAY เป็นเครื่องมือในการสำรวจข้อมูลนำมาจัดทำแผนที่ประเมินความเสี่ยง 4 ด้าน คือ การให้ความเคารพต่อบุคคล ในเรื่องการจ้างงาน ค่าจ้าง แรงงาน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย รวมถึงระบบการร้องเรียน การดูแลสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศและการรักษาป่าและการครอบครองที่ดิน การอบรมด้านการเกษตร และความโปร่งใสในการค้า

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เพื่อให้มีแนวทางในการพัฒนายางพาราสู่ความยั่งยืน ตามความต้องการของผู้ใช้ยางหลักของโลก รวมไปถึงการสร้างโอกาสในการจำหน่ายยางตรงสู่ผู้ผลิตยางล้อ โดยการดำเนินงานในปี 65 กยท. มีแผนการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่พนักงาน กยท. ทั้ง 7 เขต จำนวน 700 คน และสำรวจข้อมูลของเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 155,348 ราย โดยตั้งเป้าให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ 65 จำนวน 46,604 ราย ( 30% ของกลุ่มเป้าหมาย) และปี 66 จำนวน 108,744 ราย ( 70% ของกลุ่มเป้าหมาย)

นอกจากนี้ กยท. ได้นำ Mobile Application ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อให้บริการแก่สมาชิกเกษตรกรชาวสวนยาง และประชาชนทั่วไป โดยใช้ชื่อโครงการว่า "โครงการความร่วมมือจัดทำเครื่องมือเพื่อการสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ให้กับสมาชิกผ่านรูปแบบ Mobile Application" ร่วมกับบริษัท วี บิลด์ แอนด์ โอเปอร์เรต จำกัด

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการบริการต่างๆ ของ กยท. เช่น การประชาสัมพันธ์ข่าวสาร การแจ้งเตือนที่สำคัญ การรับเรื่องร้องเรียน การแจ้งปัญหา การสำรวจความคิดเห็นจากเกษตรกร การเผยแพร่ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ รวมไปถึงการสนับสนุนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากหน่วยงานภาครัฐ และความร่วมมือเอกชนที่เข้าร่วม โดยพัฒนารูปแบบการสื่อสารให้มีความสะดวกรวดเร็ว กลุ่มเป้าหมายและผู้บริโภคเข้าถึงง่ายผ่านทาง Smart Phone Application และ Platform ต่างๆ ด้วย