ผู้เขียน หัวข้อ: ส.แบงก์ไทยคาดปี 65 ศก.โต 3-4.5% แนะธุรกิจดึงเทคฯดิจิทัลรับกระแส  (อ่าน 342 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ dsmol19

  • *
  • กระทู้: 1,214
  • Popular Vote : 0
ส.แบงก์ไทยคาดปี 65 ศก.โต 3-4.5% แนะธุรกิจดึงเทคฯดิจิทัลรับกระแส Mega Trend

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 65 กำลังเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น หลังจากเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยที่ประชุมร่วมคณะกรรมการภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ครั้งล่าสุดได้คาดการณ์ว่าปี 65 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากขึ้นที่ 3.-4.5% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัว 0.5-1.5% แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีอัตราการฟื้นตัวไม่เท่ากันในแต่ละภาคส่วน และยังมีความเปราะบางสูง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว และกำลังซื้อของครัวเรือนที่ถูกกดดันจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นรวดเร็วจากผลกระทบของโควิด-19

สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการเงินไดิประเมินในทิศทางเดียวกันว่าต้องเร่งใช้โอกาสจากตัวขับเคลื่อนใหม่ๆ (New growth driver) และกระแสที่เป็น Mega Trend ของโลก เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง บนแนวคิดของการเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่เข้าไปเปลี่ยนโฉมการดำเนินธุรกิจจะเป็นไปในวงกว้างและเข้มข้นขึ้น

โดยที่ประเทศไทยมีความตื่นตัวและเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคการเงิน ในการปรับตัวสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ คือ Bio-Circular-Green Economy (BCG Economy) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างทั่วถึง ตามกรอบแนวคิดเกี่ยวกับ ESG ซึ่งจะเป็นการดำเนินธุรกิจให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาวให้แก่ธุรกิจรายย่อย เพื่อให้ภาคธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสในการเติบโตได้อย่างมั่นคง

Mega Trend ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงนี้ จะเป็นตัวที่กำหนดทิศทางของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคการเงิน ในการปรับตัวสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ของไทย โดยเฉพาะการ Disruption ทำให้เกิดนวัตกรรมการเงินที่หลากหลายเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งสถาบันการเงินไทยมีความตื่นตัวในการนำเทคโนโลยีทางการเงินมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานและรูปแบบธุรกิจของตัวเอง เพื่อให้แข่งขันได้ในบริบทที่คนไทยเข้าสู่ยุคของดิจิทัลไฟแนนซ์อย่างเข้มข้น

"การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้บริการทางการเงินเห็นได้จากการทำธุรกรรมโอนเงินผ่าน Mobile Banking ที่คาดว่าอาจมีปริมาณสูงถึงกว่า 1.5 หมื่นล้านธุรกรรมในปี 64 เติบโตขึ้นอย่างมากจากปี 60 ที่มีเพียง 1.3 พันล้านธุรกรรม เช่นเดียวกับการทำธุรกรรมผ่านระบบ Promptpay ที่อาจมีจำนวนสูงถึงกว่า 9.4 พันล้านธุรกรรม เติบโตขึ้น 10 เท่าจากปี 60" นายผยง กล่าว
การตอบโจทย์รองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ได้ร่วมมือกันพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการหลายด้าน เพื่อเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาอำนวยความสะดวกด้านธุรกรรมทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน ตั้งแต่ระดับนโยบาย จนถึงมาตรการในทางปฏิบัติ ซึ่งจะมุ่งเน้นส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่โลกการเงินใหม่อย่างยั่งยืน ทั้งภาคการเงินและภาคครัวเรือน รวมทั้งคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน ตลอดจนความเสมอภาคทั้งผู้ให้บริการรายเดิมและรายใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อพัฒนาการให้บริการภายใต้บริบทการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สมาคมธนาคารไทยได้ตระหนักถึงโจทย์ที่ท้าทาย ทำให้ได้วาง Roadmap ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อมุ่งส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพและความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน ตลอดจนยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในระดับภูมิภาคและระดับโลก ใน 4 Theme ได้แก่

1. การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Enabling Country Competitiveness) ซึ่งเทคโนโลยีถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะยกระดับขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจให้กับภาคธุรกิจในระยะต่อไป สอดคล้องกับภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ มุ่งมั่นผลักดันการวางกรอบแนวทางและสนับสนุนระบบ Open Banking ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ บนแนวคิดที่ลดความซ้ำซ้อนและเชื่อมโยงข้อมูลอย่างครบวงจร

2. การเป็นผู้นำการให้บริการทางการเงินในภูมิภาค (Regional Championing) สนับสนุนผู้ประกอบการและนักลงทุน เชื่อมโยงระบบโครงสร้างทางการเงินระหว่างกันในภูมิภาค เพื่อรองรับโอกาสใหม่ๆ ของภาคธุรกิจจากการขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3. การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Sustainability) ผลักดันให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนคำนึงถึงหลักการ ESG โดยสมาคมธนาคารไทยจะมีส่วนผลักดันให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ BCG Economy ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการพัฒนาและนำแนวปฏิบัติด้านการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ไปใช้ดำเนินธุรกิจ รวมถึงจัดทำ ESG Declaration อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกจากนี้สมาคมธนาคารไทยยังมุ่งมั่นที่จะร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยสร้างกลไกการเพิ่มวินัยทางการเงินและส่งเสริมการออมเงิน โดยเฉพาะการออมเผื่อเกษียณ เพื่อช่วยให้ภาคครัวเรือนหรือกลุ่มเปราะบางอยู่รอดและปรับตัวสู่โลกใหม่ ตลอดจนมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ โดยส่งเสริมให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้มากขึ้น

4. การให้ความสำคัญด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) พัฒนา Pool of Talents ที่มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต โดยสมาคมธนาคารไทยจะเดินหน้า Upskill & Reskill พนักงาน ซึ่งปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีอยู่กว่า 1.36 แสนราย ให้มี Digital Literacy มากขึ้น มุ่งยกระดับให้สมาคมธนาคารไทยมีบทบาทเป็นฮับระดับชาติในด้านองค์ความรู้และการวิจัยของอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อตอบโจทย์โลกการเงินที่เปลี่ยนไป สอดรับกับ Business model ของภาคธนาคารที่มุ่งสู่ Digital banking และเน้น Agility อย่างเต็มรูปแบบ

"ท่ามกลางการฟื้นตัวจากโควิด-19 และบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป Roadmap และยุทธศาสตร์ทั้ง 4 Themes ของสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาคธุรกิจและยกระดับเศรษฐกิจไทย และจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยไปด้วยกัน" นายผยง กล่าว