ผู้เขียน หัวข้อ: STARK สยายปีกสู่ธุรกิจ EV ชูกลยุทธ์สายไฟสำหรับ EV  (อ่าน 311 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Jenny937

  • *
  • กระทู้: 644
  • Popular Vote : 0
STARK สยายปีกสู่ธุรกิจ EV ชูกลยุทธ์สายไฟสำหรับ EV - เน้นสินค้า High Margin ตั้งเป้ารายได้ปี65 ทะยานแตะ 3 หมื่นลบ.ดันผลงานออลไทม์ไฮต่อเนื่อง "เครดิต สวิสฯ" เชียร์ซื้อ อัพราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.8 บาท

บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ( STARK) ติดปีกบินรับปีขาล สยายปีกรุกเข้าสู่ธุรกิจ EV ตั้งเป้ารายได้พุ่งแตะ 27,500-30,000 ล้านบาท เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ผลงานทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ด้านซีอีโอ "ประกรณ์ เมฆจำเริญ" ระบุชูกลยุทธ์สายไฟที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า กับสถานีชาร์ต ทั้งรูปแบบในบ้าน อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าต่างๆ พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง พร้อมลุยตลาดส่งออกกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เดินหน้าออกสินค้าใหม่อีกเพียบ กอด Backlog กว่าหมื่นล้านบาท หนุนอนาคตก้าวกระโดด บล.เครดิต สวิสฯ ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.8 บาท แนะนำ "ซื้อ" ชี้อนาคตสดใส

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 27,500 - 30,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนการขยายฐานรายได้เข้าสู่ธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงชุดสายไฟตามเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยต้องมีสายไฟเป็นตัวเชื่อมระหว่าง EV และอื่นๆ อาทิเช่น Charging station ในสถานีบริการน้ำมัน , Charging box ในบ้าน , อาคาร , สำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อรองรับขนาดกำลังไฟฟ้า และปริมาณการใช้ไฟที่มากขึ้น

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตสายไฟสินค้าทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้ EV ที่เพิ่มขึ้นและเตรียมขยายตลาดสายไฟ High Voltage เพื่อมุ่งเน้นสินค้า High-Margin และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสายไฟสำหรับกลุ่ม B2C (Business to Customer) ในประเทศเวียดนามร่วมด้วย

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายตลาดส่งออกเพิ่มเป็น 50 ประเทศทั่วโลก จากเดิมที่ส่งออกอยู่ 42 ประเทศ เนื่องจากมี Partner ที่เป็นระดับ Global company ที่ได้รับงานในประเทศต่างๆ นั้น จึงส่งผลทำให้สามารถส่งสินค้าไปหลากหลายประเทศได้เพิ่มขึ้นด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่าบริษัทฯ วางแผนการผลิต และจำหน่ายสินค้าใหม่ในกลุ่ม High-Margin อาทิเช่น สายไฟ Submarine Cable หรือ เคเบิลใต้น้ำ , สายไฟ HVDC Cable หรือ ระบบสายส่งกระแสตรงแรงดันสูงใช้สำหรับในการส่งกำลังไฟฟ้าด้วยไฟฟ้ากระแสตรงทำให้สามารถเชื่อมระบบไฟฟ้ากระแสสลับต่างระบบที่มีความถี่ต่างกันได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องทำการซิงโครไนซ์ และ Transmission line หรือสายส่งหรือสายนำสัญญาณ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีสินค้าชนิดอื่นที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาสินค้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจำหน่ายต่อไป เช่น เทปพันสายไฟสำหรับ สายไฟ High Voltage และ PD Conduit อีกด้วย

"บริษัทฯ เดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจ EV เนื่องจากเล็งเห็นว่าเทรนด์ดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก และเชื่อมั่นว่าในอนาคตพลังงานสะอาดจะเป็นสิ่งตอบโจทย์ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนได้อย่างดี ประกอบกับในปี 2565 จะมุ่งเน้นในสินค้า High-Margin เช่น High - Extra , High Voltage และ Transmission line ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งชาติของเวียดนาม ฉบับที่ 8 (PDP8) ของประเทศไทยและเวียดนาม ขณะที่ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มากกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง และจากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเชื่อมั่นว่าจะสนับสนุนผลงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่อง" นายประกรณ์ กล่าวในที่สุด

บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK แนะนำ OUTPERFORM โดยระบุว่าเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด คงคำแนะนำ "ซื้อ" และเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 6.80 บาทต่อหุ้น จากเดิม 6.5 บาทต่อหุ้น ภายหลังที่ STARK ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 เป็นที่น่าประทับใจ จึงได้เพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปี 2564-2566 อยู่ที่ 29% ,12% และ 7% ตามลำดับ

บทวิเคราะห์ระบุว่า STARK มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ในโครงที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนาม และการให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น มีโมเมนตัมการเติบโตที่แข็งแกร่ง หลังจากรายรับในไตรมาส 3/64 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าของไตรมาส 2/64 และเพิ่มขึ้น 3 เท่าของไตรมาส 1/64 และส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง (high-margin) ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานในประเทศไทยในไตรมาส 3/64 ก็มีรายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 81% เมื่อเทียบจากไตรมาส 2/64