ผู้เขียน หัวข้อ: JMART ประเดิม Synergy กับ BTS นำ JFIN Coin  (อ่าน 366 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Naprapats

  • *
  • กระทู้: 931
  • Popular Vote : 0
JMART ประเดิม Synergy กับ BTS นำ JFIN Coin
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2022, 11:05:48 pm »
JMART ประเดิม Synergy กับ BTS นำ JFIN Coin แลกแรบบิท พอยท์ เริ่ม 14 ก.พ.

นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) ในเครือ บมจ.เจมาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า หลังจาก กลุ่ม JMART ประกาศแผน Synergy ร่วมกับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ในปีที่ผ่านมาไปแล้ว ในปี 65 นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการนำ JFIN Adoption ขยายไปยัง Ecosystem พันธมิตร โดยประเดิมด้วยโครางการแรกในการนำเหรียญ JFIN แลกแรบบิท พอยท์ จาก Rabbit Rewards เริ่มในวันที่ 14 ก.พ.นี้

"ถือเป็นอีกความมุ่งมั่นในการผลักดันเรื่องของ Tokenomic ใช้ในเชิงเศรษฐกิจได้จริง โดยพิจารณาถึงข้อกำหนด และการกำกับของภาครัฐ"นายธนวัฒน์ กล่าว
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าที่บริหาร JMART กล่าวว่า JMART ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Technology Investment Holding Company (T-IHC) จะร่วมกับ Rabbit Rewards ในเครือของ BTSG เพื่อนำเหรียญ JFIN เข้ามาอำนวยความสะดวกผู้ใช้งานให้สามารถแลกสิทธิประโยชน์จากสินค้าและบริการจากแบรนด์ชั้นนำต่างๆ รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวต่อเนื่องในปีนี้ โดยมีฐานลูกค้าร่วมกันมากกว่า 10 ล้านราย
การนำเทคโนโลยีและบล็อกเชนมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ โดย JMART Group - J Ventures และ BTS Group กำลังจะเดินหน้าในก้าวต่อไป เพื่อ Synergy ร่วมกันให้ครบในทุกมิติ มองว่าจะสามารถเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อธุรกิจและผู้บริโภค ในฐานะภาคเอกชนที่พยายามผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นเป้าหมายของ JMART ที่เราพยายามผลักดันเรื่องนี้มาต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ JMART ยังอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะนำเหรียญ JFIN ไปซื้อขายบนกระดานอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อที่จะเป็นที่รู้จักมากขึ้นของผู้บริโภคมากขึ้น จากปัจจุบันที่ JFIN มีการซื้อขายอยู่บน 2 กระดานหลักแล้ว คือ Bitkub และ Zipmex สำหรับทิศทางผลประกอบการของกลุ่ม JMART ในช่วงไตรมาส 1/65 ยังคงมีทิศทางการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดชองเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คึลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากการออกมาตรการช้อปดีมีคืน ที่เข้ามาช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น และบริษัทยังมีปัจจัยหนุนจากค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยที่ลดลง หลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนเข้ามาในปีก่อนราว 30,000 ล้านบาท โดยทั้งปีบริษัทยังคงมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 50%