ผู้เขียน หัวข้อ: ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดเฟดรอบนี้ขึ้นดบ. 0.25%ตามที่ส่งสัญญาณไว้ ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อสูง  (อ่าน 467 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ PostDD

  • *
  • กระทู้: 929
  • Popular Vote : 0
ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดเฟดรอบนี้ขึ้นดบ. 0.25%ตามที่ส่งสัญญาณไว้ ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) วันที่ 15-16 มี.ค.นี้ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และยังเร่งตัวขึ้น

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.พ. 65 เร่งตัวสูงขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ 7.9% YoY ตามราคาพลังงาน อาหาร และที่อยู่อาศัย ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.พ. 65 ก็เร่งตัวสูงขึ้นที่ 6.4% YoY

"สะท้อนให้เห็นว่า แม้ผลกระทบจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังอยู่ในกรอบจำกัด แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ก็อยู่ในระดับสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่งผลให้เฟดคงจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC ที่จะถึงนี้เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาในฝั่งอุปทานที่เป็นสาเหตุหลักของเงินเฟ้อ " บทวิเคราะห์ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย คงช่วยลดการคาดการณ์เงินเฟ้อ และยับยั้งการเกิดวัฏจักรเงินเฟ้อ (inflation spiral) ได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ก็มีความแข็งแกร่งและเข้าใกล้ระดับเต็มศักยภาพ (full employment) โดยอัตราว่างงานเดือนก.พ.65 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.9% จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 4.0% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีความพร้อมที่จะรองรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบแข็งกร้าว (hawkish) จนเกินควร ดังนั้น เฟดคงมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพียง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุม FOMC ที่จะถึงนี้ ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

ท่ามกลางความวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลง ในขณะที่มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียยังมีการยกระดับขึ้นไป ซึ่งเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้น เฟดคงต้องติดตามและประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตินี้ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ซึ่งเฟดคงเผชิญสถานการณ์ที่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและด้านเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า มีแนวโน้มที่จะเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี และมีแนวโน้มที่จะทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมัน หลังจากสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรมีการออกมาตรการคว่ำบาตรระงับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะไปบั่นทอนการใช้จ่ายของครัวเรือนให้อ่อนแอลง และส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวต่ำกว่าที่คาด

"เฟดคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มจะทรงตัวในระดับสูง และความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่อาจอ่อนแอกว่าที่คาด โดยเฟดคงต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า" บทวิเคราะห์ระบุ
ทั้งนี้ ในการประชุม FOMC ครั้งนี้ จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Dot Plot) ซึ่งคาดว่าเฟดอาจมีการปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อขึ้น และปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ Fed Dot Plot อาจส่งสัญญาณจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ Fed Dot Plot ในเดือนธ.ค.64 ได้ส่งสัญญาณไว้ว่าอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียง 3 ครั้งในปี 65 ในขณะที่ล่าสุด ตลาดยังคงมีมุมมองว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง โดยให้น้ำหนักไปที่ 7 ครั้งมากที่สุด ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.75-2.00% แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในระยะข้างหน้า คงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้มุมมองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันได้ โดยหากการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรยังคงยืดเยื้อและมีความรุนแรง อันจะส่งผลกระทบทางลบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง อาจส่งผลให้เฟดอาจจำเป็นต้องชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปจากที่ตลาดคาด