ผู้เขียน หัวข้อ: การฝึกขับรถบนถนน โดยอาจารย์อั๋น (หาของเก่าไม่เจอ)  (อ่าน 10039 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
การฝึกขับบนท้องถนน

เบรค

วิธีฝึกก็คือ เราจะต้องคุมน้ำหนักเบรค ให้หัวทิ่มเท่าเดิมตลอด ตั้งแต่เริ่มเบรค จนถึงตอนที่รถเกือบจะหยุด จะต้องค่อยๆคลาย ให้หัวทิ่มน้อยลงอย่างต่อเนื่อง จนหัวไม่ทิ่มเลยตอนที่รถหยุดพอดี
ที่จะยากก็คือ
๑. เราจะต้องเบรค แรง/เบา ขนาดไหน ถึงจะได้ระยะเบรคที่พอดี กับความหัวทิ่มที่จะต้องคงที่ตลอด คือ ไม่ทิ่มน้อยลง หรือ มากขึ้น จนกว่าจะถึงจุดที่เกือบจะหยุด
๒. พอความเร็วเริ่มลดลง ด้วยน้ำหนักเบรคเท่าเดิม หัวมันจะทิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจะต้องปรับน้ำหนักเบรคให้น้อยลง ถึงจะทำให้หัวทิ่มเท่าเดิมได้
๓. ตอนที่ค่อยๆลดน้ำหนักเบรคก่อนจะหยุด จะค่อนข้างคุมยาก เพราะต้องให้หัวค่อยๆทิ่มน้อยลงเรื่อยๆ
ผลทางตรงของการฝึกอันนี้ คือ การที่เราจะสามารถคุมเบรคได้ดีขึ้น ถ้าคนที่อยากจะไปวิ่งในสนาม ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก และ คนที่นั่งด้วย ก็จะนั่งสบายแน่ๆ  แต่ก็ยังได้ผลทางอ้อมอื่นๆ เช่น การรับรู้เรื่องของ G-Force ที่เกิดขึ้นจากการเบรค และ สามารถปรับน้ำหนักของเท้า ตามแรง G-Force ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้สามารถคุมน้ำหนักการเบรค ให้ได้แรง G-Force ตามที่ต้องการ


Engine Break ที่มิทพูด พี่เคยได้ยินมาสองแบบ ที่ต่างกัน แต่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เรียกเหมือนกันหรือเปล่า
๑. แบบแรก คืออย่างที่มิทพูด ปล่อยคลัทช์ ในช่วงที่รอบเครื่องมันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น พอคลัทช์เริ่มจับ มันก็จะดึงรถให้ช้าลง ผมว่า ที่เค้าไม่ทำ เพราะว่า ถ้าเบรคสุดจริงๆ แล้วทำ มันอาจจะทำให้ล้อล๊อกได้ ควบคุมยาก หรือถ้าค่อยๆปล่อย ก็เปลืองคลัทช์
๒. แบบสอง ที่นิชิเค้าใช้ตลอด คือการทำ heel&toe ให้ไปจบในรอบสูงๆ ทำให้เครื่องมีแรงฉุดมากกว่า เหมือนกับ สมมุติว่าเราวิ่งเกียร์สามที่สองพันรอบ แล้วยกคันเร่ง อันนี้คือมี engine brake น้อย กับ ถ้าวิ่งเกียร์สามที่เจ็ดพันรอบ แล้วยกคันเร่ง อันนี้คือ engine brake เยอะ อันนี้เค้าทำ เพราะว่า ช่วยลดภาระของเบรค และ วิธีนี้ จะกะน้ำหนักได้ง่ายกว่า เพราะว่ามันจะไม่ได้ดึงหนัก แต่ค่อยดึง สามารถปรับตัวได้ทัน ด้วยการปรับน้ำหนักเบรค ให้ได้ G-Force ที่คงที่
   

"การเบรคบนลูกกระเด้ง" ต่อเลยละกันนะครับ
ไอ้ลูกกระเด้งเนี่ย เรามักเจอตามซอย หรือทางเข้าสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า หรือ ตึกที่ทำงาน ฯลฯ
หน้าที่ของมัน คือ ดักความเร็ว  ทำให้รถที่วิ่งมาต้องเบรค หรือ ชะลอความเร็วลง เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ต้องใช้ทางร่วมกับรถ
ทีนี้ ไอ้เจ้าลูกกระเด้งเนี่ย มันน่ารำคาญอยู่ซะหน่อย  คือ ถ้าเจอไม่เยอะ  เราคงไม่รู้สึก แต่ในบางสถานที่ โอ้โห  เจอถี่เกินไปนี่ เป็นเรื่อง
คือระยะทาง 50 เมตร บางที่มีไอ้ลูกระเด้ง5-6จุด  กว่าจะผ่านไปได้ ต้องช้าสุดๆ เกิดใจร้อน อยากรีบไป ต้อง"รูด"  อาจมีเหตุให้ต้องซ่อมล้อ/ช่วงล่างกันได้

วิธีผ่านลูกกระเด้ง ให้ได้ความเร็วพอควร และไม่ทำลายล้อ+ยาง/ช่วงล่าง มันพอมีครับ  หลักการก็คล้ายๆกับการผ่านคอสะพานนี่หละ
คือต้องใช้วิธี"เล่น"กับน้ำหนักเบรคกันหน่อย
   
1.   มองให้ขาดก่อนว่า  ขนาดและรูปร่างของลูกกระเด้ง เป็นแบบไหน  ถ้ากลมๆ ไม่สูงมาก    อันนี้ผ่านได้เลย ไม่ต้องเบากันมากหรือเป็นแบบ ทั้งชัน ทั้งเหลี่ยม  อ่ะ  อันนี้ต้องมีการเตรียมการกันนิดนึง   ก็คงเป็นหลักๆแค่สองแบบนี้หละ

2.   เริ่มเล่นกับเบรค   พอใกล้ถึงลูกกระเด้งปั๊บ  เราไม่ต้องเบรคหนักมากครับ เบรคให้พอชะลอความเร็วลงก่อนเป็นอย่างแรกอย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วใช่มั้ยครับ ว่า เวลาเบรค น้ำหนักรถมาอยู่ด้านหน้า ช๊อคอับหน้า ยุบตัวลง  คือ ถ้าเบรคมาก-ยุบมาก เบรคน้อย-ยุบน้อย  ลองนึกภาพตามกันดูนะครับ

3.   พอเริ่มแตะลูกกระเด้ง  น้ำหนักเบรคของเรายังไม่เปลี่ยนครับ  คือยังไม่เบรคหนักมาก เบรคเท่าเดิม ตามสเตปสองนี่หละแต่พอรถเริ่มไต่ขึ้นนี่หละครับ สำคัญเลยทีเดียว เพราะเราจะเล่นกับระยะยุบของช๊อคอับกันแถวๆนี้หละ 
     กล่าวคือ เมื่อถึงจุดสูงสุดของลูกกระเด้ง  ถ้าเราไม่คุมด้วยเบรค  ช๊อคอับจะดีดรถขึ้นอย่างแรง  ทำให้เกิดอาการ"กระเด้ง"ตามชื่อกันไป
     วิธีทำคือ   เมื่อถึงจุดนั้น(จุดสูงสุด) ให้เพิ่มน้ำหนักเบรค สู้กับการดีดของช๊อคอับครับ     อ่า...... งงกันหรือเปล่า ลองนึกภาพตาม   ถ้าไม่เบรคเลย    รถวิ่งผ่าน   กระแทกลูกกระเด้ง ช๊อคยุบก่อน  พอขึ้นจุดสูงสุด ช๊อคดีดแรง  ผลคือ "กระเด้ง"
    เล่นกับเบรค     รถวิ่งผ่าน เบรคก่อนให้ช๊อคยุบเล็กน้อย  พอขึ้นจุดสูงสุด  เพิ่มน้ำหนักเบรค ไม่ให้ช๊อคดีดมาก  ผลคือ "นุ่มๆ"

4.   ขาลง   อันนี้ก็สำคัญไม่แพ้ขาขึ้นครับ  เพราะอะไร?    ตอนที่จะลง  ช๊อคก็ทำงานเร็วเช่นกัน ถ้าไม่คุมด้วยน้ำหนักเบรคเอาไว้
    นึกภาพครับ(อีกแล้ว) ไม่เบรคเลย  รถกระเด้งตั้งแต่ขาขึ้น ไปถึงจุดสูงสุด ช๊อคดีดขึ้นสุด  แล้วตกลงมาอีกฝั่งของลูกกระเด้งช๊อคยุบสุดอีกที  โอ้โห ถ้าไม่ช้าจริงๆ  คนที่นั่งมาด้วยมีหันมาแบ๊คแฮนด์แน่นอน
    ถ้าทำตามสามสเตปแรก  คือคุมน้ำหนักเบรคมาตลอด หลังจากสุดสูงสุด ช๊อคยุบ  ขาลง เราค่อยๆคลายเบรค  คือค่อยๆคุมระยะดีดของช๊อคอับ ไม่ให้ดีดแรงนั่นเอง เราก็ลงจากลูกกระเด้งได้อย่างสง่างาม เอ๊ย!! นุ่มนวล   
    เสร็จขั้นตอนล้อหน้า  ทำซ้ำที่ล้อหลังได้อีกด้วย   ทีนี้ เราก็สามารถผ่านลูกกระเด้งได้อย่างสบายๆ ถ้าทำเนียนๆ คนนั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราผ่านมาตอนไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2011, 03:38:04 pm โดย thor111 »
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
LFB (Left Foot Breaking)

ไอ้ผมนี่ไม่รู้เป็นยังไง นึกออกทีไร ไม่พ้นเรื่องเบรค(อีกแล้ว) อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ
ที่ผ่านๆมา ผมเคยพูดถึง seemless transition ถ้าจำไม่ได้ ลองย้อนกลับไปอ่านดูก่อน  เรื่องของการบาลานซ์รถให้ไม่มีอาการ เวลาเปลี่ยนจากเบรคมาคันเร่ง
ผมพูดถึง LFB Left-foot brake ไว้นิดหน่อย  วันนี้เลยเอามาเล่าให้ฟัง
เรื่องของเรื่อง ไอ้ LFB เนี่ย ถ้าทำได้ มันจะเหมาะกับรถรุ่นใหม่ๆในอนาคต ที่เป็นเกียร์แบบ semi-auto เปลี่ยนเกียร์กันบนแป้นหลังพวงมาลัย
ไม่ต้องมีคลัทช์มาให้เหยียบให้เมื่อยตุ้มกันละ  ทีนี้ ในเมื่ออีกหน่อย จะไม่มีรถเกียร์ธรรมดากันแล้ว เราก็เตรียมตัวหัดใช้เท้าซ้ายเบรคกันดีกว่ามั้ย?
ก่อนอื่น ผมไม่แนะนำให้ลองบนรถเกียร์ธรรมดานะครับ เพราะแป้นเบรคของรถเกียร์ธรรมดาจะค่อนข้างเล็กไป ไม่สะดวกเหมือนรถเกียร์ออโต้
แป้นเล็ก การเหยียบการหัด อาจจะไม่ถนัด และอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เอาเป็นว่าลองกับรถเกียร์ออโต้ตามที่บอกดีกว่า 
ลองหนแรก ต้องนึกเอาไว้ก่อนนะครับว่า เราใช้เท้าซ้ายเหยียบแต่คลัทช์มานาน แน่นอนว่า น้ำหนักที่เหยียบ ถ้าเอามาใช้กับแป้นเบรคละก็ หัวทิ่มแน่ๆ
ลองครั้งแรกๆ หาถนนโล่งๆ ความเร็วไม่ต้องสูง แล้วลองเบรคด้วยเท้าขวาตามถนัดก่อน ลองจำอาการให้ได้  หลังจากนั้น ลองใช้เท้าซ้ายดู
อย่าพรวดพราดทำนะครับ  ถ้ารีบทำ มีหัวทิ่มตามที่ผมเตือนไว้แหงๆ ลองหลายๆครั้งครับ ค่อยๆเบรคบ้าง เบรคหนักหน่อยบ้าง สลับๆกัน
    ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการคุมน้ำหนักละ คือ ทำยังไง จะเบรคด้วยเท้าซ้ายให้ได้พอๆกับกับเท้าขวา เกือบลืมว่า เน้นช่วงปล่อยเบรคด้วยนะครับ อย่ารีบยกลองสังเกตอาการรถเอาไว้หลายๆแบบ   พอเริ่มชิน ทำได้คล่อง ทีนี้ก็ลองไปใช้กับชีวิตประจำวันครับ  ขับเข้าเมือง เจอรถติดบ้าง
ลองดูว่า ใช้ LFB แล้วคนนั่งไปกับเรารู้สึกได้รึเปล่า  ทำจนคนไม่สังเกต นั่นหละครับ แปลว่าเราทำได้ไม่เลวแล้ว
อีกเรื่องครับ   ผมเคยได้ยินคนพูดว่า จะหัดใช้เท้าซ้ายเบรค ก็ไปหัดกับรถโกคาร์ทดิฟะ  ผมอยากจะถามกลับว่า
ไอ้โกคาร์ทเนี่ย มันมีหม้อลมเบรคมั้ยเพ่  มันไม่มี!! ละถ้ามันไม่มี อาการเบรคมันจะเหมือนรถบ้านๆได้ไง  สรุป ไปลองกับโกคาร์ทได้ แต่จำมาใช้ไม่ได้ โอ่เค๊?   

ลองหัดดูครับ ใครลองแล้วเจออาการแปลกๆ หรือมีผลยังไง มาเล่าให้ผมฟังด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2011, 03:38:25 pm โดย thor111 »
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
ฮีล แอนด์ โทว์

Heel and Toe ก่อนละกันนะครับ   ตามหลักการง่ายๆ มันคือการบาลานซ์รถ เวลาที่เราต้องการลดเกียร์ลง
ตามที่เสธ.เอ๋ถามไว้ ว่า จะทำ down shifting ยังไง ไม่ให้รถมีอาการกระชาก หรือกระตุก หรือเสียอาการ
ในขณะที่เรา down shifting หรือ ลดเกียร์ลง รอบเครื่องจะตีขึ้นสูง เนื่องจากอัตราทดของเกียร์ที่ต่ำกว่า 
ทีนี้ การจะทำให้มันนุ่มนวล ก็ต้องอาศัยการ Blip throttle(แย๊บคันเร่ง) เพื่อช่วยเร่งรอบเครื่องขึ้นไปรอ ในจังหวะที่เรากำลังจะปล่อยคลัทช์ แล้วถามว่า เกี่ยวกับคำว่า Heel and Toe ได้ไง?  ก็นี่หละครับ  กระบวนการลดเกียร์ลง มักจะอยู่ในขั้นตอนการลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง 
โดยที่(ส่วนมาก)
 
1.เราจะใช้ด้านบนของเท้า(ตั้งแต่บริเวณนิ้วโป้งหรือ Toe)เป็นตัวกดแป้นเบรค---
2.เท้าซ้ายเหยียบคลัทช์---ลดเกียร์ลง---
3.ใช้ส้นเท้า(Heel)เป็นตัวแย๊บคันเร่ง
เพื่อเร่งรอบขึ้นไปรอ---
4.ปล่อยคลัทช์   ทำซ้ำจะไปถึงเกียร์จะเราจะใช้ออกจากโค้งก็เป็นอันเสร็จพิธี 

ขั้นตอนทั้ง 4 ดูเหมือนจะง่ายนะครับ แต่ว่ามันจะต่อเนื่องกันหมด
โดยมาก ผู้ที่หัดใหม่ๆ มักจะคุมน้ำหนักเบรคเท้าไม่อยู่ เวลาใช้ส้นเท้าแย๊บคันเร่ง ก็จะเผลอกดน้ำหนักปลายเท้าที่เบรคลงไปด้วย ไม่ต้องตกใจครับ เป็นอาการปกติของคนหัดใหม่



เรื่องของการหัดเบรคบนถนน วิธีการกดเบรคตอนแรก ผมขอให้หัดแบบที่กดแรงเลยครับ แต่ที่ว่ากดแรงเนี่ย มันมีความหมายของมันอยู่ คงต้องอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย
ที่ว่ากดแรงเลย มีความหมายอยู่ตรงที่ว่า เราต้องการไปให้ถึง peak G-force ให้เร็วที่สุด  ความหมายของ peak G-force ในกรณีนี้ ไม่ได้หมายถึงล้อล๊อกอย่างเดียวนะครับ หมายถึง ว่า เป็น G-force ที่เยอะที่สุด ที่เราจะต้องการใช้ ในการเบรคครั้งนี้ พูดง่ายๆก็คือ หัวเรา จะทิ่มมากที่สุด เท่ากับเท่านี้แหละ ไม่มากไปกว่านี้อีกแล้ว

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพเพิ่มเติมอีกนิด ข้อมูลอันนี้ เป็นการสมมุติให้เห็นภาพเฉยๆนะครับ ไม่ได้อิงตามหลัก Physics เพราะว่าลืมสูตรไปหมดแล้ว 
    ลองนึกภาพว่า เราวิ่งมา 100km/h เราตั้งใจว่าจะกดเบรคที่ระยะทาง 40 เมตร จากไฟแดง ถ้าทำตามวิธีฝึก ก็คือ ภายให้ 1-2 sec  เราจะไปถึงน้ำหนักเบรคสูงสุดที่จะต้องใช้แล้ว สมมุติว่า ในกรณีนี้ เท่ากับ 0.3G หลังจากกดเบรคไปแล้ว เราต้องพยายาม รักษาแรงนี้ไว้ให้คงที่ตลอดทาง สมมุติว่า ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 10 sec ก่อนจะถึงจุดที่จะต้องเริ่มคลายเบรค ในช่วงนี้ ไม่ใช่ว่า จะต้องให้เท้านิ่งนะครับ ที่ต้องนิ่งคือ หัวของเรา ที่จะต้องไม่ทิ่มมากขึ้นหรือน้อยลง อาจจะต้องมีการปรับน้ำหนักเบรคบ้างเล็กน้อยมากๆ เพื่อที่จะให้หัวนิ่ง หลังจากผ่านไปถึงจุดที่เริ่มจะใกล้ถึงไฟแดง คราวนี้ เราต้องค่อยๆคลายเบรค จาก 0.3G => 0G โดยอาจจะใช้เวลาอีก 4 sec โดย หัวเรา จะค่อยๆยกขึ้น จนรถก็จะหยุดพอดีที่หน้าไฟแดง

    คราวนี้ มาลองนึกแบบอื่นๆดู เริ่มที่ความเร็วเท่าเดิม คือ 100km/h  แต่เปลี่ยนระยะทาง จาก 40 เมตร เป็น 80 เมตร  หรือ 20 เมตร จากไฟแดง สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนอย่างเดียว คือ ช่วงกลาง จากที่จะใช้เวลา 10 sec  ก็ อาจจะเปลี่ยนเป็น 20 sec กับ 5 sec  peak G-force ก็จะเปลี่ยนเป็น 0.15G กับ 0.6G แทน และก็ แน่นอนว่า หัวของเราก็จะทิ่มไม่เท่ากัน คือ ระยะเบรคเยอะ หัวก็ทิ่มน้อย ระยะเบรคน้อย ต้องเบรคแรงขึ้น หัวก็ทิ่มเยอะขึ้น

ที่ให้ทำแบบนี้ ก็เพราะว่า ส่วนใหญ่ สำหรับคนที่หัดใหม่ๆ จะติดนิสัยเสียเรื่องของการเบรคในสนาม ที่เกิดมาจากการขับบนถนน คือ เราจะชินแบบที่เปาพูดถึงอีกแบบ เรื่องของการค่อยๆเบรค พอไปวิ่งในสนาม ก็จะมีอยู่สองแบบ คือ ไม่ติดเบรคแบบวิ่งถนน คือ ค่อยๆเบรค ก็ กลายเป็นแบบกระทืบเบรคแรงเลย คือ เหมือนเปิดปิด ไม่สามารถควบคุมได้  ที่ให้ฝึกแบบนี้ ก็คือ ฝึกการควบคุมการกดเบรคตอนแรก ให้ได้ G-force ไปถึงจุดที่เราต้องการ ในเวลาที่สั้นที่สุด

    G-force ที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในสนามแข่ง หรือว่า ในถนน จะต่างๆกันไปในแต่ละกรณี ถ้า ยกตัวอย่างในสนาม ถ้าเราวิ่งมาตรงๆ เบรคตรงๆ ก็อาจจะเยอะ เอาให้หัวทิ่มสุดๆเลย ใกล้ๆกับ 1G  แต่ถ้า เราโดนบังคับให้ต้องเบรคตอนที่เลี้ยวอยู่ เราจะต้องเบรคให้เบาลง เพราะถ้าเบรคแรงไป รถอาจจะหมุน หรือ ถ้าเบรคแรงไปมากๆ รถก็จะตรงลงข้างทางไปเลย  ถ้ายกตัวอย่างบนถนน น้ำหนักเบรค ก็อาจจะปรับตามผู้โดยสาร ถ้านั่งคนเดียว ก็ อาจจะเบรคได้แรงหน่อย แต่ถ้ามีคนอื่นนั่งไปด้วย ก็อาจจะเบรคเบาหน่อย

    ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องความสบายของคนนั่ง จริงๆแล้ว ผมว่า ถ้าเบรคทีเดียวแบบที่ให้ฝึก น่าจะทำให้เหนื่อยน้อยกว่า เนื่องจาก จังหวะแรก คนนั่งคงไม่รู้ ว่าเราจะเริ่มเบรคตอนไหน ดังนั้น คงจะเกร็งไม่ทัน หลังจากเริ่มเบรคแล้ว ถึงจะเริ่มเกร็ง ถ้าเรายิ่งเพิ่มน้ำหนัก เค้าจะต้องยิ่งเกร็งเพิ่มขึ้น ถ้าเราไม่เพิ่มเลย ตอนแรก อาจจะดูเหมือนว่า เค้าหัวทิ่มลงมาเยอะ แต่เนื่องจากยังไม่ทันได้เกร็ง เลยไม่เหนื่อยเท่า  ถ้าอยากจะให้นั่งสบาย ผมว่า น่าจะใช้วิธี เพิ่มระยะเบรคแทน จะได้ไม่ต้องหัวทิ่มเยอะ (G-force น้อย)

    ผมว่า แค่เรื่องเบรคเรื่องเดียวเนี่ย ก็คุยกันได้ยาวเลยนะ จริงๆแล้ว มันมีอะไรเยอะมากๆ ตอนที่นิชิฮาร่า เค้าสอนว่าให้ทำอะไร เค้าก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย แต่พอเราเอามาทำจริงๆ จะรู้เลย ว่าได้อะไรกลับไปอีกเยอะ จากเรื่องที่ดูเหมือนกับเป็นเรื่องพื้นๆนี่แหละครับ ที่จะทำให้เราเข้าใจเรื่องยากๆได้ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2011, 03:54:15 pm โดย thor111 »
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
คันเร่ง


วิธีฝึกก็คือ คุมรอบให้ได้สามพันรอบเป๊ะ ตลอดเวลา
เรื่องนี้ฟังดูเหมือนว่าง่าย แต่จริงๆ ไม่ง่ายอย่างที่คิด ขนาดอาจารย์นิชิฮาร่ายังบอกเลย ว่าเรื่องเบรค เค้าว่า ยังไม่ยากเท่าคันเร่ง เรื่องคันเร่ง เค้าบอกว่า ยังกำลังหัดอยู่เหมือนกัน     ผมว่า เรื่องพื้นฐานนี่แหละ สำคัญนัก

ที่จะยากก็คือ
๑. โจทย์คือต้องทำให้ได้สามพันเป๊ะๆ มันจะเหนื่อยตรงที่ ถ้าเกินสามพันไปนี๊ดดนึง เราจะปรับคันเร่งยังไงให้มันเหลือสามพัน ต้องละเอียดมากๆ
๒. ถนนไม่ได้เรียบราบตลอด ดังนั้น พอขึ้น/ลงเนินที ก็ต้องปรับกันใหม่

สิ่งที่ได้จากการฝึกนี้ก็คือ
๑. จะทำให้เราละเอียดมากขึ้นกับหลายๆเรื่อง เรื่องของแรง g-force เรื่องของคันเร่ง และ ยังมีเรื่องของการสังเกตุถนนด้วย เรื่องนี้ ทำให้เราเนียนขึ้นในสนามด้วย เพราะสามารถคุมคันเร่งได้หลายระดับ
๒. เราจะชินกับการเช็ครอบเครื่อง อันนี้ จะมีประโยชน์กับเรื่องอื่นๆต่อไปอีกในอนาคต รวมทั้งเรื่องของการทำ heel&toe ด้วย
๓. อันนี้ก็อีกเหมือนกัน ทำให้ขับปลอดภัย ประหยัดน้ำมัน และ นั่งสบายด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2011, 03:54:41 pm โดย thor111 »
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
การจับความรู้สึกจากพวงมาลัย

วีธีฝึกก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่ เวลาขับรถในชีวิตประจำวัน จับพวงมาลัยเบาๆ ที่ 3 โมง กับ 9 โมง โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งแค่สองนิ้ว จบ   
(ผมไม่ได้คิดเอาเองมั่วๆนะ อาจารย์นิชิฮาร่าเค้าบอกว่าเค้าฝึกแบบนี้จริงๆ  )
ความยากก็คือ

๑. ขับไปขับมาแล้วจะเผลอ ลืมทำ
๒. เลี้ยวไปเลี้ยวมา อาจจะหนัก และ ทำให้เมื่อย
สิ่งที่ได้จากเรื่องนี้ สำคัญมากๆครับ เพราะว่า เราจะได้รับข้อมูลหลายๆอย่าง มาจากพวงมาลัย  ถ้าคนที่เคยเห็นนิชิฮาร่าขับ มือเค้า จะมีการปรับตัวไวมากๆ เกิดจากน้ำหนักของพวงมาลัยที่เปลี่ยนไป ทำให้เค้าปรับพวงมาลัย เพื่อให้ได้ traction ที่สูงที่สุด เรื่องทฤษฏี ผมไม่อยากจะพูดมาก เอาเป็นว่า ลองไปทำดู แล้วก็จะเข้าใจเอง ลองสังเกตุน้ำหนักของพวงมาลัยที่เปลี่ยนไปตามสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งจากตัวเราเอง และ จากสภาพถนน  ถ้าทำจริงๆ ยังไงต้องรู้สึกอะไรบ้างแน่ๆครับ 

ทำไมเค้าถึงให้ใช้แค่สองนิ้ว (นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง) ในการฝึกแบบนี้
เรื่องของเรื่อง การคุมพวงมาลัย มันก็เหมือนกับเล่นกีฬาอื่นๆที่ต้องอาศัยข้อมูลผ่านมือ เช่น กอล์ฟ
วิธีจับไม้กอล์ฟ ถ้ากำแน่น หรือหลวมเกินไป จะทำให้ความแม่นยำ/การสื่อสารผิดเพี้ยนไป ทำให้ควบคุมทิศทางไม่ได้
ขับรถก็เหมือนกันครับ เราใช้มือ คุยกับล้อหน้า ซึ่งเป็นล้อที่ใช้บังคับเลี้ยวโดยตรง
ถ้าเราสื่อสารกับล้อหน้าไม่ได้ หรือไม่ดีพอ ก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะพารถไปในทิศทางที่เราต้องการ
ดังนั้นวิธีการสื่อสารที่ฝึกได้ง่ายสุด คือ การจับพวงมาลัยโดยใช้แค่สองนิ้ว เพื่อรับรู้ข้อมูลที่เข้ามาโดยไม่มีแรงของฝ่ามือ+แขนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป
น้ำหนักพวงมาลัย จะมีหนักมีเบาตามองศาของล้อ ซึ่งตามปกติ เราแทบไม่ได้สังเกต เพราะเราจับแบบเต็มมือ
จริงๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นแบบฝึกหัดเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายที่สุด  และส่งผลให้เราเป็นนักขับที่ดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปแข่งรถด้วยซ้ำ 
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
ช่วงรอยต่อ ของเบรค กับ คันเร่ง

วิธีการ ก็น่าจะต่อเนื่องมาจาก การฝึกเบรค ตามที่ก้องโพสไว้ตั้งแต่แรก คือให้ความสำคัญของการคลายเบรคเท่าๆกับตอนเหยียบเบรค
แล้วค่อยๆเติมคันเร่งลงไป  ให้คนนั่งไม่รู้สึก ว่าปล่อยเบรคออกมาเหยียบคันเร่งตอนไหน 
มีวิธีที่นักแข่งรุ่นใหม่ๆใช้กันในสนาม หรือใช้กับรถแข่งที่ไม่ต้องพะวงเรื่องเหยียบคลัทช์มากนัก เช่นรถ Formula ต่างๆ
นั่นคือการใช้เท้าซ้ายเบรค (Left-foot braking) หรือ LFB   จุดประสงค์จริงของการใช้วิธีนั้น ก็คือ การถ่ายน้ำหนักจากเบรคมาคันเร่งให้ไร้รอยต่อเช่นกัน
เพื่อความสมดุลย์(balance)ของตัวรถ เมื่ออยู่ในโค้ง
โดยส่วนตัว ผมเคยถามอาจารย์ว่าแกทำ LFB รึเปล่า  แกบอกว่าไม่จำเป็น  ทีแรก ผมก็คิดว่า สงสัยแกคงไม่ได้ฝึกมา เลยไม่ได้ทำ
แต่พอได้นั่งแกขับจริงๆ รู้เลยว่า ทำไมถึงใช้แค่เท้าขวา เพราะแกทำได้เนียนกว่าคนถนัด LFB หลายๆคนซะอีกแน่ะ
และในเมื่อเราไม่ได้หัดกันเพื่อไปเป็นนักแข่งแรลลี่ หรือนักแข่งรถสูตร ผมเลยมองว่า ใช้แค่เท้าขวานี่หละให้ชำนาญดีกว่า
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
การฝึกเรื่องประสาทสัมผัส

ความสำคัญของความรู้สึกดังกล่าว ว่าการที่เราทำความคุ้นเคยกับอะไรนานๆ หรือบ่อยๆ มันจะส่งผ่านข้อมูลไปให้สมอง ความรู้สึกที่ผ่านมือไปก็เช่นกัน มันจะไปเก็บไว้ใน ดาต้าของเราเอง
เค้าเคยทำการสาธิตประเภทนี้ด้วยการให้อาสาสมัครมาแข่งกันถอดถุงเท้าผู้หญิงกัน  ไม่ได้ทะลึ่งนะครับ กติกาคือ ต้องปิดตา ใส่ถุงมือหนาๆเป็นไปตามคาดครับ พอตัดประสาทสัมผัสทางตา(การมองเห็น) ทางมือ(การสัมผัส)ไป ก็ทุลักทุเลกันน่าดู คนที่ทำได้เร็วที่สุด กลายเป็นหมอฟันครับ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องทำงานละเอียดๆด้วยการใส่ถุงมือเสมอๆ ทำให้เค้าพัฒนาสัมผัสด้านนั้นมาตลอดผู้เขียนบอกต่อว่า  ถ้าเราลองใส่ถุงมือหนาๆ ขับรถซักพัก จนเริ่มจับอาการได้ แล้วลองเปลี่ยนมาใส่ถุงมือแข่งที่ให้ความรู้สึกได้ไวกว่า
จะทำให้ ประสามสัมผัสเราพัฒนาไปได้อีกระดับ  นี่ผมก็ว่าจะเอาไปลองดูซะหน่อย โชคดีที่รถติดฟิล์ม ไม่งั้นคงดูแปลกๆรึเปล่าไม่รู้


เรื่องประสาทหู

    ที่ก็ต้องนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ ประสาทตา+มือ+เท้า+หลัง เพื่อนำมาประกอบเป็นดาต้าเก็บไว้ในสมอง เพื่อจะงัดมาสั่งการทีหลังปกติ เราใช้หูฟังเสียงอะไรกันบ้างเวลาขับรถ?  ผมเดาว่า 80% คนขับอิม ไม่ค่อยเน้นเครื่องเสียงแน่ๆ ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าหน่อยก็คงจะชอบ Boxer sound
รุ่นใหม่ๆ เหยี่ยวหรือหมูขึ้นมา ก็คงจะฟังเสียงแผดแบบแว้ดๆของเฮดเดอร์รุ่นใหม่ๆ  แต่ใครเคยสังเกตเสียงยางบ้าง?วิ่งบนถนนในเมือง รถติดๆ คงไม่ได้ยินแน่ๆ แต่ถ้าเป็นทางด่วนช่วงมืดๆ หรือทางต่างจังหวัดที่มีโค้งเยอะๆหน่อย  ใครขับเร็วก็น่าจะได้ยินอยู่บ้าง
กลับมาเข้าเรื่อง Exercise นี้ดีกว่าครับ
จากการที่ ปกติ ระดับการได้ยินของเรานั้น เป็นตัวประเมินผลประกอบกับประสาทด้านอื่นๆตามที่เกริ่นไปแล้ว
เราจะทำการหรี่การใช้งานมันซะ  แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า สถานที่ที่จะไปลองเล่น นอกจากในสนาม ก็คงต้องเลือกถนนที่รถน้อยๆเพราะประสาทหูที่เราจะหรี่มันลง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าเราไม่ได้ยินเสียงแตรของเพื่อนร่วมทาง หรือเสียงอื่นๆ
วิธีการคือ หา Earplug หรือ อุปกรณ์ง่ายๆเช่น Headphone เครื่องเสียง หรือแม้กระทั่งกระดาษทิชชูก็ได้ เอามาอุดหูเราซะเวลาขับ
ทีนี้ พอหรี่วอลลุ่มหูเรียบร้อย  เอาละสิ ลองสังเกตุกันดูครับว่า  เราแทบจะไม่ได้ยินอะไรเท่าไหร่  คือปกติ เราไม่ค่อยสนใจจะฟังอะไรมาก
แต่พอปิดมันเข้าไป  มันจะทำให้เราต้องเพ่งสมาธิไปที่การฟังมากขึ้น  ลองขับดูซักพัก แล้วสังเกตตัวเองว่าได้ยินชัดขึ้นมั้ย หลังจากลองซักพัก ทีนี้เปิดวอลลุ่มหู เอาอุปกรณ์ต่างๆออก ผมแน่ใจว่า เสียงที่เคยได้ยินปกติ จากแผ่วๆ มันจะกลายเป็นเสียงที่ชัดเจน

แบบที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อนแน่นอน  ลองโฟกัสไปที่เสียงเครื่อง เสียงท่อ เสียงยาง ลองทำแล้วสังเกตดูหลายๆแบบ หลายๆเสียง
เหมือนกับการเปิดประสาทสัมผัสใหม่ๆให้กับตัวเราเอง  รับรองว่าจะสนุกกับการขับไปฟังไปขึ้นอีกแน่ครับ   


เรื่องการมอง

การมอง มีความสำคัญอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะขับรถอะไร ขับที่ไหน ขับยังไงก็ตาม  การมองที่ถูกต้อง ถูกวิธี ช่วยทำให้เราตัดสินใจในการขับได้อย่างแม่นยำ
ตรงกันข้าม ถ้ามองผิดๆ อาจทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ลำบากได้โดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่าง  ขับบนถนนไฮเวย์  ข้างหน้าเกิดมีอุบัติเหตุ รถใหญ่หมุนอยู่กลางถนน
คนส่วนใหญ่มักตกใจ มองไปที่จุดเกิดเหตุ แล้วเบรคอย่างแรง ซึ่งอาจทำให้รถเสียการควบคุม และในที่สุดก็เลยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอุบัติเหตุตรงนั้นซะเลย
ขณะเดียวกัน การมองอย่างมีสติ มองหาช่องทางที่จะหลบ/เลี่ยง ทำให้เรารอดพ้นเหตุการณ์ตรงนั้นมาได้
จริงๆ ไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง 100% นะครับ มีแต่วิธีฝึก ที่จะช่วยป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้ได้

1. มองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้               ใช้ได้กับทุกที่ ทุกโอกาส ไม่ว่าจะวิ่งบนถนน รถติดๆ ทางด่วนรถโล่ง หรือในสนามแข่งที่ต้องแย่งกันอยู่ข้างหน้า กล่าวคือ ถ้าเรามองได้ไกล ภาพที่เราได้จะส่งไปยังสมอง สมองก็จะสั่งการให้เราเตรียมตัวต่อเหตุการณ์นั้นๆได้ก่อน เท่ากับเรามีเวลาพอที่จะตัดสินใจ ในขณะเดียวกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เรายังมีเวลาพอจะแก้ไขได้ทัน

2. ผ่านแล้ว ให้ผ่านเลยหลายครั้งครับ ที่เราเผลอไปมองอะไรก็ตามข้างทางนานๆ ทำให้เราละสายตาจากถนน สมาธิหลุดไปชั่วขณะ ถ้าข้างหน้าไม่มีอะไรก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีขึ้นมาละก็  ไอ้ที่มองไกลๆไว้ทีแรก กลับมาดูอีกที กลายเป็นอยู่ตรงหน้าเราซะ ถ้ามาช้าๆ คงไม่เท่าไหร่  แต่ถ้ามาเร็วๆหละเป็นเรื่องได้ง่ายๆ รวมไปถึงไม่ต้องหันกลับไปมอง หรือแอบชำเลืองมองผ่านกระจกด้วย

3.มองในที่ที่เราจะพารถไปต่อเนื่องมาจากข้อแรกครับ  แต่บางครั้งเราอาจเจอถนนที่เป็นมุมอับ เช่นถ้าเป็นในเมืองก็อาจจะมีตึก หรือสิ่งกีดขวางบังตา ไม่สามารถจะมองได้ไกล หรือมองได้เคลียร์  หรือถนนบนภูเขา ที่มีขึ้นมีลง มีมุมบังตา มุมอับ มุมลับเฉพาะมากมาย  อย่างแรกเลยคือ มองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน  หลังจากนั้น ถึงจะเป็นเรื่องของการตัดสินใจ   ที่ผมบอกว่า มองในที่ที่จะพารถไป ก็คือ โดยธรรมชาติของคนขับรถปกติ  ลองสังเกตดูได้ครับ เรามองทางไหน สมองจะสั่งให้มือพาไปโดยอัตโนมัติกลับมาที่กรณีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า  ถ้าเรามัวแต่มองไอ้ที่เค้าจะเป็นเหตุกัน เราก็จะพารถเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ควรทำ คือ ต้องมองหาจุดที่ปลอดภัย ที่เราจะสามารถหลุดออกมาได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆครับ  วิ่งในเมือง  ใครๆก็เจอหลุมแน่นอน  ซึ่งคนส่วนใหญ่ เวลาเห็นก็เห็นใกล้ๆ เท่านั้นไม่พอ
จ้องไปที่หลุมอีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ ไม่รอดครับ โครม ซ่อมล้อกันไป ลองเปลี่ยนวิธีมองครับ พอใกล้หลุม ให้เล็งไปที่ที่จะหลบ ผมว่า เกิน 90% ที่เราจะผ่านไปได้  ถ้าขั้นตอนถูกต้อง


เบื้องต้นสามวิธีนี้ก็เป็นหัวข้อหลักๆในการมองเวลาขับรถแล้วละครับ   ถ้าเป็นในสนามแข่ง ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก แต่เอาเท่านี้ก่อนดีกว่า


การฝึกสายตา ฝึกการมอง ฝึกการกะระยะ และเก็บรายละเอียด

ซึ่งถ้าจะว่าไป ในสนามแข่ง นักแข่งจำเป็นต้องมองให้เป็นมองให้ถูก  จึงจะสามารถประมวลผลเข้าสู่สมองได้ทัน และได้ประสิทธิภาพเต็มที่
เมื่อนำมาใช้กับการขับบนถนน แน่นอนว่า ความเร็ว ตลอดจนรายละเอียดต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมากมายขนาดวิ่งแข่งในสนาม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องนึงทีเดียว
อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการฝึก ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรือพิศดารตรงไหน   แค่นิ้วหัวแม่มือข้างใดข้างนึง  โคมไฟสูงซักอัน และหิ้งหรือชั้นวางหนังสือ สามอย่างนี้ก็พอครับ
วิธีฝึก :  ยืนตรงสบายๆ ยกนิ้วหัวแม่มือสูงระดับเดียวกับจมูก  ลองเพ่งดูรายละเอียดบนนิ้วหัวแม่มือ เสร็จแล้ว ลองเปลี่ยนโฟกัสไปที่โคมไฟ ที่ห่างจากเราไปซักประมาณ10ฟุต
เพ่งดูรายละเอียดของโคมไฟ แบบเดียวกับที่เรามองหัวแม่มือ เสร็จแล้วเปลี่ยนไปมองชั้นวางหนังสือที่อยู่ไกลออกไปอีก เล็งรายอะเอียดเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้น กลับมาโฟกัสที่นิ้วหัวแม่มืออีกครั้ง ทำซ้ำๆกันซักประมาณ 2-3 นาทีครับ  วิธีนี้ เป็นวิธีที่ช่วยในเรื่องของการกะระยะ การเก็บรายละเอียด และความยืดหยุ่นของ
เลนส์ในตาเราได้เป็นอย่างดี
ถามว่า ทำไมผมถึงเน้นในเรื่องของการมองเป็นพิเศษ  จากหน้าแรกๆ จนมาถึงตรงนี้?  ตอบได้เลยครับว่า  การขับรถบนถนน โดยเฉพาะถนนเมืองไทยนั้นต้องตาไว(และหูไว)อยู่เสมอ ประสาท และการทำงานของร่างกายต้องพร้อม  อะไรที่ไม่คาดคิด หรือไม่น่าจะมีบนถนนเมืองไทย มันมีให้เห็น ให้ตกใจตลอด
เพราะฉะนั้น ถ้าเราฝึกให้ตาเป็นอาวุธแรก  แน่นอนว่า ขับไปไหน เราก็ค่อนข้างได้เปรียบ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมเคยบอกให้มองให้ไกลสุดไปแล้ว คราวนี้ก็ลองมองแบบเก็บรายละเอียดในระยะต่างๆกันด้วย   ลองไปทำดูนะครับ
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
การถ่ายน้ำหนักรถ

    ตั้งแต่ขับรถมา ทำล้อแม๊กคดไปก้อเยอะอยู่  รถซิ่งก้องี้    พักหลังพอเริ่มรู้เริ่ม weight transfer  มาดูกันซิทีนี้ว่ามันช่วยอะไรเราได้บ้างสมมุติว่า เรามองไปข้างหน้าแล้วเจอหลุมอยู่ที่ล้อหน้าขวา  ว่าลงหลุมแน่ๆดอกนี้  ..เราจะหักหลบมันอย่างไร   ส่วนมากมักจะหักหลบ..พยายามเอาล้อหน้าขวานั้นออกจากหลุมให้ได้ด้วยการเลี้ยวออกอย่างกระทันหัน  ..หลบพ้นก้อดีไป ...แต่ถ้าไม่จะเป้นอย่างไรครับ  มาดูต่อ ..ด้วยน้ำหนักที่เราหักหลบหลุมอย่างรวดเร็วนั้น  ทำให้น้ำหนักถูกถ่ายไปที่ล้อหน้าขวามากขึ้นกว่าเดิมไปอีก  ถ้าคิดเป็น% ที่เพิ่มคงสัก50-60% ได้ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่หักหลบ   ...ผลเป็นอย่างไรครับ....ถ้ายางคุณใหม่อยู่นิ่มดี  ช่วงล่างนิ่มซับแรงกระแทกไปได้เยอะก้อดีไป  อาจเสี่ยงกับแม๊กคดน้อยลง  แต่ถ้าไม่เช่นยางคุณเป็นrunflat โช้คก้อโคดแข็ง  งานนี้อาจต้องมีไปซ่อมล้อล่ะครับ
แล้ว...จะแก้ยังงัย   พอผมรู้เรื่องweight transferนี้ ผมเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการขับ  โดยถ้าหลุมอยู่ล้อหน้าขวา  ผมเพียงกระตุกพวงมาลัย...ไปทางขวามากขึ้นในจังหวะที่จะถึงหลุมพอดี ...เพื่อย้ายน้ำหนักให้ไปอยู่ล้อซ้ายแทน  ผมก้อจะเสี่ยงกับการล้อคดน้อยลงจริงมั้ยครับ  เอาง่ายๆเหมือนสนามนครชัยศรีเลย  ในช่วงหลังจากสุดทางตรงหน้าpitไปจะมีs อยู่ก้อถ่ายน้ำหนักแล้วบินข้ามไปเลย  เพื่อให้รถไปตรงมากที่สุด  กับอีกอันนึงก่อนขึ้นทางตรงหน้าpitไงครับ  นึกออกยังเอ่ย  บินเข้าไปเลย มันมีหลุมอยู่ แต่พอน้ำหนักย้ายมาทางฝั่งขวาแทนแล้ว  หลุมที่ล้อซ้ายเราก้อไม่ใช่ปัญหาถูกมั้ยครับ
ในการถ่ายทอดน้ำหนักเมื่อรถเรากำลังพุ่งไปข้างหน้า   จะมีคาเรกเตอร์ ที่สำคัญในการถ่ายทอดน้ำหนักอยู่ 3 อย่าง
1.คันเร่ง  น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหลัง 
2. เบรค  น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหน้า 
3. การถอนคันเร่งแบบฉับพลัน  น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหน้าแต่ไม่เยอะเท่าเบรค
ในกรณี  ที่กำลังจะพูดถึงนั้น จะขอไม่กล่าวถึง  การถ่ายทอดน้ำหนักในมุมทะแยง  ที่ขึ้นอยู่องศาการเลี้ยวและน้ำหนักการถ่ายว่าฉับพลันขนาดไหน
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
การจับความเร็วด้วยความรู้สึก

    เรื่อง Speed sensing

ถามว่าเรื่องนี้คืออะไร สำคัญตรงไหน และนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ยังไง?
Speed sensing คืออะไร?  ก็ตรงตัวครับ เซนส์ในเรื่องของความเร็ว  ความเร็วตรงนี้คือความเร็วรถ ที่สามารถดูได้ง่ายๆก็บนหน้าปัทม์เราแหละ
ใครมี speed sensing ที่ดี ย่อมรู้ได้ว่า รถกำลังวิ่งอยู่ที่ความเร็วเท่าไหร่ หรือ สามารถตัดสินใจได้ว่า ทางที่เห็นข้างหน้า ควรใช้ความเร็วแค่ไหน
แล้วมันสำคัญตรงไหน?   ถ้าเป็นบนถนน ตรงที่น่าจะมีประโยชน์ที่สุดคือ ทางที่ถูกกำหนดความเร็วเอาไว้ เช่นทางด่วนทั้งหลาย และซุปเปอร์ไฮเวย์
ถ้านำไปใช้กับสนามแข่ง ตรงนี้จะมีประโยชน์ในแง่ที่เราสามารถรู้สปีดที่เหมาะสมในแต่ละจุดของสนาม ไม่ว่าจะเป็นจุดก่อนเข้าโค้ง
สปีดกลางโค้ง ออกโค้ง ให้เหมาะสม คือได้ความเร็วเต็มที่ เต็มสมรรถนะรถในทุกๆจุดของสนามนั่นเอง
อ่ะ  มาเรื่องวิธีฝึกกันบ้าง   แบบแรก สามารถทำได้บนถนนเลย  จะแหร่มมาก ถ้าเป็นทางด่วน หรือทางโล่งๆ ยาวๆ ให้เราได้ลองเล่นโดยไม่มีอะไรมารบกวน
วิธีฝึก/เล่น เราจะต้องมีอุปกรณ์ประกอบเล็กน้อย  นั่นคือ กระดาษแข็งซักแผ่น ตัดมาพอที่จะแปะเข้าไปบนหน้าปัทม์ เพื่อใช้บังเข็มความเร็วได้ และเอาออกได้ง่าย
พอได้อุปกรณ์ เราก็ ไปเลยครับ เลือกเอาถนนซักเส้นที่จะเล่น  ถ้าเป็นผม ผมก็เลือกแถวบ้าน  ทางด่วนอาจณรงค์-รามอินทรานี่หละ  จ่ายตังเสร็จ เริ่มเลย

          ขั้นแรก  กำหนดควมเร็วไว้ก่อนเลยครับ ว่าจะวิ่งเท่าไหร่  เช่นผมอาจจะเริ่มที่ 90 กม./ชม.  วิ่งซักพัก จนความเร็วคงที่ ระหว่างนี้ ต้องคอยสังเกตุครับ ว่าความเร็วขนาดนี้ เราสัมผัสอะไรได้บ้าง เพื่อเป็นส่วนประกอบในการจำ  พอคิดว่าจำได้  เอากระดาษแข็งมาแปะเข้าไปบังความเร็วซะเลย  พยายามใช้ความรู้สึก
ที่เราจำเอาตั้งแต่ทีแรกครับ ประคองให้อยู่ในสปีดที่เรา "คิดว่า" มันคือสปีดที่เรากำหนดไว้ วิ่งซัก 500 เมตร-กิโลนึง  เมื่อมั่นใจว่าใช่แน่  เอากระดาษแข็งออก
แล้วมาดูว่า "ใช่" ไอ้ความเร็วที่เรา"คิดว่าใช่" หรือเปล่า  ถ้าไม่ใช่ ห่างเยอะ ก็ทำใหม่ครับ ทำจนใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้

          ขั้นที่สอง  ขั้นตอนคล้ายกับขั้นแรกครับ  แต่เพิ่มความยากขึ้นอีกหน่อย  คือ กำหนดสปีด+ทำความคุ้นเคย+เอากระดาษแข็งแปะ   ปิดเข็มความเร็วให้เรียบร้อยคราวนี้ละครับ ยากหน่อย คือเราต้องลด หรือ เพิ่มความเร็ว ไม่ให้อยู่ที่เดิมไปก่อน  แล้วค่อยกลับมาที่สปีดที่เรา "คิดว่า" ใช่สปีดเดิมที่เรากำหนด
อันนี้ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยครับ เพราะพอเราเปลี่ยนกลับมา  ถ้าเราจำไม่ได้แม่นจริงๆ  เพี้ยนแน่นอนครับ    ห้ามโกงด้วยการแอบดูวัดรอบนะครับ
ต้องใช้เฉพาะความรู้สึกที่เราจำเอาไว้แล้วเท่านั้น  ตรงนี้ถ้าเราทำบ่อยๆ ทำจนแม่น  อีกหน่อยเราก็ไม่ต้องเหลือบดูเข็มความเร็วเลยด้วยซ้ำ สามารถรู้ได้เลย ว่าเร็วเท่าไหร่
จะมีประโยชน์กับท่านที่ต้องเดินทางบ่อยๆ วิ่งทางยาวๆ แล้วชอบมีปัญหากับเจ้าหน้าที่  รวมไปถึง ท่านที่ชอบ"เล่นโค้ง" สปีดที่เราฝึกเอาไว้จนจำได้ จะทำให้เรารู้ครับว่า
ในแต่ละโค้งที่เข้าไป  ควรจะมีความเร็วพกเข้าไปด้วยเท่าไหร่ ถึงจะปลอดภัย

หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
เรื่องของ "ลมยาง"

    เรื่องของเรื่องคือ พฤหัสที่ผ่านมา กลุ่มวัยรุ่น(จริงๆแค่3คน) ไปแอบเซทอะไรนิดๆหน่อยๆกันที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา
เซทเสร็จ ก็ต้องมีการลองกันหน่อย ผลที่ได้ ตอนแรกออกมางงๆ รถออกอาการตุปัดตุเป๋ ไปลำบาก มีทั้งอันเดอร์ก่อน แล้วโอเวอร์สเตียร์ตาม   
ทีแรก เข้าใจว่าผิวแทรคลื่นเป็นพิเศษ เพราะตอนลงไปลอง สังเกตเห็นปูนขาวโรยไว้ในหลายๆโค้ง คาดว่ามีคราบน้ำมันปนด้วย และอากาศค่อนข้างมัวซัวหน่อย นึกขึ้นได้อีกที อ้าว ลืมเติมลมยาง  ตอนเซทรถวัดเอาไว้ค่อนข้างอ่อนไปนิด ประมาณ30ปอนด์เศษๆ แล้วทั้งเจ้าของรถและผมก็ลืมไปเลย มัวแต่อยากจะลองกัน
ตามปกติ คอนดิชั่นที่เราเคยซ้อม หรือวิ่งเล่น อุณหภูมิแทรคจะสูงหน่อย เพราะแดดที่พีระค่อนข้างแรง ทำให้อุณภูมิยางสูงตามขึ้นไปด้วย
พอเจอกับอากาศเย็นๆ ไม่มีแดด เราเลยลืมนึกข้อนี้ไป อ้ะ นึกขึ้นได้ก็เติมเข้าไปอีกหน่อย เป็นประมาณ 34ปอนด์ แล้วลงไปลองอีกที
อืมมม  คราวนี้ได้ผลครับ  รถออกอาการตามที่มันควรจะออก โดยที่อาการเหวอๆเสียวๆตอนแรกไม่มีให้สัมผัสอีกต่อไป  จบการเซท สบายใจ 
    ผมเลยอยากพูดถึง"ลมยาง"กันซะหน่อย ว่ามันมีความสำคัญทีเดียว ถ้าใช้ความเร็วสูงๆ ลมยางที่อ่อนหรือแข็งเกินไป ทำให้รถเกิดอาการแปลกๆได้
ลมยางที่อ่อนเกินไป ทำให้ตรงกลางหน้ายางหุบลง คือสัมผัสพื้นได้แค่ขอบด้านนอก/ด้านใน แก้มยางไม่ตึงเต็มที่ เลี้ยวทีก็แทบบจะหลุดจากล้อ
ลมยางแข็งเกินไป อันนี้ตรงข้ามกันอยู่แล้ว คือ ตรงกลางหน้ายางป่องเกินไป หน้าสัมผัสด้านนอก/ด้านใน แตะผิวถนนไม่เต็มที่ แก้มยางแข็งกระด้างเกินไปอีก
ลมยางที่พอดีๆ หน้าสัมผัสจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย   หน้าสัมผัสที่ผมพูดถึง ไม่ใช่ขนาดความกว้างที่เราชอบเอามาคุยกันนะครับ
เช่นเราใส่ยาง 225/45/17  เรามักนึกว่า 225 คือขนาดหน้ากว้างของยาง  จริงๆมันคือส่วนที่กว้างที่สุด นั่นก็คือ วัดจากตรงแก้มยางสองฝั่ง
ถ้าจะวัดหน้ายางกันจริงๆ ต้องวัดกันที่ Footprint(รอยตีน) ตามศัพท์ทางรถแข่งเค้าว่ากัน 
ไอ้เจ้า Footprint นี่หละครับ คือตัวที่จะบอกว่า หน้าสัมผัสของยางนั้นๆ ทำงานเต็มประสิทธิภาพแค่ไหน ลมยางเองมีส่วนอย่างมากในเรื่องนี้ อย่างที่บอกไปแล้วครับ
จริงๆวิธีวัด Footprint ก็เป็นวิธีนึง แต่ถ้าจะวัดกันจริงๆ อาจจะต้องมีเครื่องมือเพิ่มเติมอีกหน่อย นั่นคือ ที่วัดอุณหภูมิพื้นผิว  เค้าเรียกว่าอะไร ผมก็ไม่ได้จำซะด้วย
แต่มันมีหน้าทีตามชื่อของมันหละครับ มีทั้งแบบเป็นแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปในที่ที่เราจะวัด หรือประเภทมีปลายไว้ใช้แตะของที่จะวัด แต่หลักๆคือ มันจะบอกเลยว่า
อุณหภูมิของพื้นผิวนั้นๆ เป็นเท่าไหร่ 
ได้เจ้าตัวนี้มาเสร็จ ก็ลองได้เลยครับ  เอารถออกไปหวดซัก2-3รอบ(ในสนาม) วิ่งกลับเข้าพิท เอาปืนอุณภูมิยิงไปที่หน้ายาง วัดสามจุดครับ ทั้งนอก/กลาง/ใน
แล้วดูว่า อุณหภูมิที่ได้ ใกล้เคียงกันหรือไม่   ถ้าตัวเลขทั้งสามค่าไม่เพี้ยนกันมาก ก็คือจบ ลมยางและการเซทต่างๆถือว่าดี แต่ถ้าอุณหภูมิต่างกันชัดเจน เช่นตรงกลางหน้ายางร้อนกว่า นั่นคือ ลมแข็งไป  ถ้าตรงกลางเย็นกว่า นั่นคือ ลมอ่อนไป (อันนี้คร่าวๆนะครับ จริงๆจะมีเรื่องมุมล้อด้วย)
เราก็จัดการลมยาง จนได้ค่าที่พอดีตามที่เราต้องการ
ที่หลอกให้อ่านซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรครับ จะบอกว่า บางที การใช้ยางราคาแพงๆ ที่เค้าว่ากันว่าสมรรถนะดีนั้น ตัวเราเองได้ใช้ตรงจุดนั้นจริงๆรึเปล่า?

ยางราคาเส้นละ 6-7000++ เราใช้จริงๆถึง3000มั้ย? คือ ไหนๆก็ลงทุนใช้รถขับสนุกๆ ใช้ยางดีๆแล้ว ก็ดูแลตรงนี้กันนิดนึง จะได้หนุกกว่าเดิมด้วย
ลมยางที่เพี้ยนมากๆ นอกจากทำให้ยางเสียหายแล้ว อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ หนักมากๆ อาจทำให้พาไปเจออุบัติเหตุด้วยซ้ำไป

ขอให้สนุกกับการเซทลมยางนะคร๊าบบบบ
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
การฝึกในสมอง

    คนที่อาจจะคุ้นกับการทำงานของสมองของคนเราอาจจะพอรู้มาบ้าง ว่า หลังจากเวลาเราหัดทำอะไรซักอย่าง สมองของเราก็จะเริ่มสร้างความสามารถนั้น และ ค่อยๆพัฒนาสมองส่วนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการพัฒนา ไม่ได้จำกัด อยู่แค่เฉพาะเวลาเราทำ แต่จะพัฒนาต่อเนื่อง  เวลาที่เราคิดถึงเรื่องนั้น หรือ แม้แต่ตอนที่เรานอนหลับด้วย
จากเรื่องของสมอง ก็ มาถึงเรื่องของกีฬาทั่วๆไป ซึ่ง จริงๆแล้ว ก็รวมไปถึงการฝึกขับรถด้วย คือการที่เราเก็บอะไรกับมาคิด พร้อมกับนึกภาพตาม ทำให้สมองของเราพัฒนาตามไปด้วย
วิธีการฝึก ก็คือ ให้เราพยายามคิดภาพ โดยละเอียด ของการทำอะไรบางอย่างที่เราต้องการฝึก คิดไปเรื่อยๆ วันละสิบนาที สิบห้านาที  แล้วพอไปทำจริงๆ ทุกอย่างมันจะออกมาดีเอง
ตัวอย่างจริง ดูได้จากอาจารย์อั๋น ถ้าใครได้ไปแทรคเดย์ที่นครชัยศรีมาก็คงเห็น  ผมว่า วันนั้นพี่อั๋นขับดีนะ ไม่ได้นั่ง แต่ดูอยู่ข้างนอกรถ  ดีขึ้นกว่าเดิม และ ไม่ค่อยพลาดเลย  ผมว่า ที่พี่อั๋นขับได้ดีทั้งๆที่ไม่ได้ไปซ้อมวิ่งสนามบ่อยๆ น่าจะเป็นเพราะทำการบ้านมาดีมากๆ  ครั้งที่แล้วที่ไปนครชัยศรีกัน ตอนนั้นไปช่วยอาจารย์นิชิ สอน โดยที่ผม ถ่ายวีดีโอทั้งนิชิ พี่อั๋น และ ผมเอง ขับรถผม อัดใส่ดีวีดี
ตัวผมเอง ทำวีดีโอเสร็จ ดูไปก็น่าจะหลายรอบ อาจจะสี่ห้ารอบมั้ง รวมกับดูรายละเอียด แบ่งเซ็กเตอร์ต่างๆของแต่ละคน จนสรุปออกมา ว่าแต่ละจุด ใครเร็วกว่าใคร ทำสรุปออกมาเป็นไฟล์เอ็กเซล แจกแจงเหตุผล ว่าใครเร็วตรงไหน เพราะอะไร  จบแล้ว ก็จบกันไป ส่งดีวีดีให้ผู้เกี่ยวข้อง หรือใครที่อยากได้ พร้อมกับไฟล์เอ็กเซลที่ทำสรุปเอาไว้  งานผมก็จบไป ไม่ได้กลับมาดูอีกแล้ว
ส่วนพี่อั๋น ได้ดีวีดีจากผมไป  ดูแล้วดูอีก  คิดแล้วคิดอีก  ผมไม่รู้ว่ากี่รอบ แต่ผมว่าเยอะมากๆ  คงต้องให้พี่อั๋นมาบอกเอง แต่ผมเดาว่า อาจจะห้าสิบรอบได้มั้ง  ดูแล้วคิด ดูแล้วคิด
จะเห็นได้ว่า จุดประสงค์ของผม กับ พี่อั๋น ค่อนข้างต่างกัน  ผมดูวีดีโอ เพื่อจะหาคำตอบ ว่า ตรงไหน ใครเร็ว เพราะว่าอะไร  ส่วนพี่อั๋น  เป็นการดูเพื่อพัฒนาจินตนาการในสมอง   จริงๆแล้ว จะว่าผมไม่พัฒนาสมอง ก็ไม่เชิง แต่ผมจะพัฒนาในเชิงที่ว่า ดูในวีดีโอแล้วจะรู้ทันที ว่าเร็วเพราะอะไร ช้าเพราะอะไร  ส่วนพี่อั๋น  จะพัฒนาไปในเชิงของการขับมากกว่า
จริงๆผมก็รู้นะ ว่าควรจะดูวีดีโอมากกว่านี้ แต่ว่า กว่าจะทำข้อมูลเสร็จ มันก็เอียนแล้ว เลยไม่ได้ดูมากเท่าที่ควร
เรื่องของการใช้จินตนาการเข้ามาช่วยในการฝึก สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าเราจินตนาการได้ละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้น
เช่น ถ้าเราตั้งใจจะฝึกเรื่องเบรค เราก็ลองจินตนาการถึงเสียงเครื่อง แรงจี น้ำหนักเท้า เสียงยาง ภาพที่ตาเราเห็น ฯลฯ
ผมเคยอ่านมา มีนักแข่งบางคน เวลาเลี้ยวในทางที่มองไม่เห็นเพราะมีกำแพงบัง ในขณะที่กำลังเลี้ยว เค้ามองเข้ากำแพงเลย  ว่ากันว่า สมองเค้ากำลังจินตนาการถึงรูปแบบของโค้งทะลุกำแพงไป แล้วคำนวนว่าจะต้องขับยังไงให้ออกจากโค้งได้ดี



เรื่องของจินตนาการ มันมีความสำคัญมากกว่าที่ผมเคยคิด เรื่องนี้ ก็เอาไปใช้ได้กับอะไรหลายๆอย่างในชีวิตนะ  ถ้าเราคิดถึงมันอย่างจริงๆจังๆ วันนึง มันอาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้จริงๆ
ไอ้การขับรถแข่งเนี่ย  ใครๆก็ทราบครับ ว่า จะเร็ว จะช้า อยู่ที่การฝึกซ้อม  ยิ่งซ้อมเยอะ ยิ่งดี แต่ที่สำคัญคือ การฝึกซ้อมที่ถูกวิธี
เมื่อก่อนเราเคยอ่านเจอคำว่า practice makes perfect   แต่สำหรับผม มันอาจจะไม่ใช่ครับ ผมยึดคำว่า
PRACTICE DOESN'T MAKE PERFECT, ONLY PERFECT PRACTICE MAKES PERFECT!!!
อย่างในกรณีที่ก้องพูดถึงคือ ผมได้ดูและทบทวนการขับจากดีวีดี ไม่ว่าจะเป็นที่อาจารย์มาซากิขับ หรือ ตัวผมขับ หรือก้องขับก็ตาม
ผมเอามาประมวลผล  ดูว่า ใครพลาดตรงไหน  พลาดเพราะอะไร แล้วทำยังไง ถึงจะแก้ไขสิ่งที่พลาดไม่ให้เกิดขึ้นอีก
จากที่ผมได้ดู อาจารย์มาซากิ แทบจะไม่พลาดเลย  ส่วนที่ผมขับเอาไว้ พลาดเต็มๆหลายโค้ง  จริงๆแล้วคือ แทบจะทุกๆโค้ง ที่ละนิดละหน่อย
ทำให้เวลาที่ผมทำได้ ห่างจากอาจารย์ 0.5 วิเต็มๆ!   ไอ้0.5 วิเนี่ย ไม่ใช่ว่าฟังแล้วบอกว่า แหม นิดเดียวเอง  ไม่ใช่นะครับ
การขับแบบจิมคาน่า หรือ time attack แบบนั้น จะ0.5 0.4 หรือ 0.001  ก็คือแพ้ครับ ไม่มีรอบให้เอาคืนแบบเซอร์กิต หรือการแข่งแบบอื่นๆ
เพราะฉะนั้น ผมต้องศึกษาอย่างละเอียด ว่า ทำไม รถคันเดียวกัน อาจารย์ขับ โดนมีผมนั่งไปด้วย(+75กิโล) ถึงทำได้เร็วกว่าผม ซึ่งไปคนเดียวถึง0.5 วิ
ผมถือว่า นั่นคือการบ้านของผมเลย แล้วการทำการบ้าน  จริงๆแล้ว ที่ถูกต้องคือ ผมต้องไปซ้อมที่สนาม  แต่โดยข้อเท็จจริงก็คือ  ไม่ได้ไป  แล้วจะทำยังไง?
วิธีที่ผมใช้ หลังจากประมวลความผิดพลาดของผมแล้ว ก็คือ การจินตนาการที่ก้องพูดถึงนี่หละ    บ่อยครั้งหลังจากที่ผมดูจบ ผมก็มานั่งหลับตา นึกถึงภาพสนาม
นึกถึงเสียง นึกถึงแต่ละโค้งอย่างละเอียด ว่ามีอะไรบ้าง รวมไปถึง นึกถึงแรงจี แรงกระทำที่ถนน  นึกเยอะไปหมด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากสุด
แล้วผมก็นึกภาพว่ากำลังขับ  จะแอทแทคแต่ละโค้งยังไง จากโค้งแรกไปโค้งต่อไป ผมต้องทำอะไรบ้าง อาการรถ อาการยางเป็นไงบ้าง
พูดง่ายๆว่า นอกเหนือไปจากดูแผ่นเยอะ ผมมานั่งจินตนาการไม่น้อยไปกว่าการดูครับ
แล้วถามต่ออีกหน่อย ว่า จินตนาการไปแล้วได้อะไร  จะเหมือนไปซ้อมจริงๆรึเปล่า?
ต้องบอกว่า  การจินตนาการ  นอกจากทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนแล้ว  ถ้าเราทำได้ดี ก็ไม่ต่างจากการที่ไปขับจริงๆมากนัก  อันนี้ หลายๆท่านอาจจะงง
อาจจะไม่เข้าใจนะครับ  ไว้ลองฝึกดู แล้วจะอ๋อแบบผม  แต่สำหรับผม วิธีนี้ ดีที่สุด ในกรณีที่ไม่ได้ไปฝึกที่สนามจริง



กลับมาที่ วัน trackday  หลังจากทั้งดูแผ่น ทั้งซ้อมในจินตนาการมานาน  ผมก็ได้ลองเก็บรายละเอียดไอ้ที่พลาดๆไป
ผลลัพท์  คือ น่าพอใจมากกกกกกกกกกก  เวลาที่ผมทำได้ แน่นอนว่าดีขึ้น แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ ผมแทบจะไม่พลาดเลย ทั้งๆที่ขับหลายคันแล้วแต่ละคัน อาการก็ไม่มีเหมือนกัน  ไล่ไปตั้งแต่รถของชาย หน้าหมู STI 2.5  รถของเอิ๊ก EVO VII  หน้าหมูขาวของทั่นประธาน และอีกหลายๆคันที่สอนไป
ไอ้การทำการบ้าน โดยการนึกภาพมาก่อน ทำให้ผมขับแต่ละคันได้เลย โดยไม่ต้องมาห่วงว่า โค้งไหนเป็นยังไงอีกต่อไปแค่ปรับตัวให้เข้ากับรถแต่ละคันเท่านั้นก็พอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 25, 2011, 03:51:16 pm โดย thor111 »
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
UNDERSTEER

    คงไม่ต้องอธิบายกันมากนะครับ ว่าคืออะไร  อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกันครับ โดยเฉพาะ ซูบารุของเราๆท่านๆนี่หละ
รถที่มีอาการอันเดอร์เป็นพื้นฐาน ก็คือ รถบ้านๆที่มาจากโรงงาน เช่นรถขับหน้าทั่วไป รถขับ 4 ก็เป็นบ่อย สืบเนื่องมาจากการวางน้ำหนักส่วนใหญ่ไว้ด้านหน้ารถ
ลองนึกภาพตามนะครับรถสองแบบที่ว่า  รถขับหน้า วางเครื่องไว้ข้างหน้า ข้างหลังไม่มีอะไรเลย น้ำหนักเฉลี่ยหน้าหลัง แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ
เวลาเลี้ยว หรือเข้าโค้ง น้ำหนักจะถูกถ่ายมาด้านหน้า  จากที่หน้าหนักอยู่แล้ว ก็จะหนักมากกว่าเดิมอีก 
ขับ 4 ก็ไม่เว้นเช่นเดียวกันครับ ถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์การขับเคลื่อนไปช่วยถ่วงอยู่ด้านหลังบ้างแล้ว แต่ยังไงก็ยังออกอาการอันเดอร์ให้พบบ่อยๆ
แล้วทำไมทางผู้ผลิตถึงไม่ทำให้มันไม่อันเดอร์??  อันนี้ต้องอธิบายนิดนึงครับ   ว่าอาการอันเดอร์ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในหน้าแรกๆ ว่าเป็นอาการที่เป็นพบได้ง่าย
และแก้ไขง่ายที่สุด  กล่าวคือ  แก้ตามสาเหตุของการอาการ ดังที่ผมจะบอกในท่อนต่อไป   สรุปว่าเค้าทำมาเพื่อไม่ให้ลูกค้า ซื้อไปแล้วไปเจออาการโอเวอร์เสตียร์
ซึ่งแก้ไขได้ยากกว่า ต้องใช้ทักษะมากกว่านั่นเอง
เอาละฮะ  เข้าเรื่องดีกว่า ก่อนจะพล่ามไปมากกว่านี้    เจ้าอาการอันเดอร์เนี่ย  สาเหตุหลักๆของมัน ก็คือ การที่น้ำหนักจำนวนมากถูกถ่ายมายังด้านหน้ารถมายังล้อหน้า ซึ่งเป็นล้อที่ใช้สำหรับการบังคับทิศทางของรถ  เพราะฉะนั้น เมื่อเราเบรค  ยางคู่หน้าก็รับภาระในการเบรคไปส่วนนึงแล้ว
จะเหลือ traction (การยึดเกาะ) สำหรับเอาไว้เลี้ยวไม่มากนัก  ถ้ามาด้วยความเร็วไม่มาก  หรือ โค้งกว้างๆ ไม่ต้องหักเลี้ยวเยอะๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามาด้วยสปีดที่สูงเกินไป หรือ เบรคจนล้อล๊อค แล้วพยายามจะเลี้ยวด้วย อันนี้ก็คือ เลี้ยวไม่ได้แน่นอน เพราะยางเอง ใช้แทรคชั่นไปกับการเบรคจนหมดแล้ว
วิธีแก้ อันที่ง่าย และน่าโดนด่าที่สุดคือ  อย่ามาแรงเกินไปซิครับ  ฮ่าๆๆๆ ไม่ตลกนฮะ อันนี้เรื่องจริง  คนส่วนใหญ่ มักจะคิดว่า ซูบารุขับ4 ยังไงมันต้องไปได้สิวะ!
ผมกำลังจะบอกว่า  มันไปได้ครับ  แต่ก็ไปได้แค่สุดแทรคชั่นของมันเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้น  กระเด็น!
ผมจะแบ่งอาการอันเดอร์ออกเป็นสามแบบที่เข้าใจง่ายๆละกันนะครับ จะได้นึกภาพตามได้


1. อันเดอร์ช่วงเข้าโค้ง
แน่นอน  อันนี้ ก็เป็นตามที่ผมบอกไว้ข้างบน คือ มาเร็วไป แรงไป หรือ ใช้เบรคมากเกินไป  พอจะเริ่มเลี้ยว ก็ไม่เหลือแทรคชั่นให้ใช้เลี้ยวแล้ว
วิธีแก้ไข ก็บอกไปแล้วอีกว่า  อย่ามาแรงหรือเร็วเกินไปดิ  อ๊ะ  ไม่ใช่วิธีเดียวครับ  อีกวิธี ในกรณีที่เบรคจนล้อล๊อค หน้าแถจนยางหมดแทรคชั่นก็คือ

1.1  คลายเบรคออกเล็กน้อย เพื่อให้ยางเหลือแทรคชั่นเอาไว้เลี้ยวด้วยแล้วค่อยกดเบรคต่อ
1.2 คืนพวงมาลัย   ถ้าเราเบรคทั้งๆที่ล้อยังเลี้ยวอยู่ ยังไงก็เลี้ยวได้ยาก หรือเลี้ยวไม่ได้ ก็คืนพวงมาลัยออกมาหน่อย แล้วค่อยเบรคเพิ่มเมื่อล้อตรงแล้ว หลังจากความเร็วลดลง
เราค่อยเลี้ยวเพิ่มครับ


2. อันเดอร์กลางโค้ง
    อันนี้บางกรณี อาจต่อเนื่องมาจากอาการแรก  คือ หน้าไถมาแต่ไกล ตั้งแต่เข้าโค้งมาเลย  การแก้ก็บอกไปแล้วในข้อ 1 ครับกับอีกอย่างคือ เมื่อเลี้ยวได้แล้ว  ดันรีบปล่อยเบรค หรือรีบเดินคันเร่งเร็วเกินไป  ลองนึกภาพ(อีกแล้ว!) รถเราอยู่กลางโค้ง ปล่อยเบรคแรง น้ำหนักถ่ายกลับไปด้านหลัง-
อย่างรวดเร็ว ทำให้แทรคชั่นหาย หายนี่คือ หายจากด้านหน้า ไปอยู่ด้านหลังหมด  พูดง่ายๆ หน้ายกเยอะ  ทีนี้ก็ไม่มีแทรคชั่นมาช่วยเลี้ยวอีกละ มาดูวิธีแก้กันครับ

2.1 อย่ารีบปล่อยเบรค    การที่เรารีบปล่อยเบรค เป็นการถ่ายน้ำหนักแบบทันทีทันใด  ทำให้ล้อหน้าขาดแทรคชั่น เลี้ยวไม่ได้อีก   การปล่อยเบรค ผมพูดไปแล้วในบทต้นๆ
ถ้างง ลองไปอ่านดูอีกครั้งนะครับ  การปล่อยที่ดี คือ ปล่อยแล้ว ไม่มีการ shift หรือ jerk มากเกินไป  ปล่อยเนียนๆ ให้น้ำหนัก และ แทรคชั่นอยู่กับยางนานอีกหน่อย
2.2 เดินคันเร่งเนียนๆ   นี่ก็ต่อเนื่องมากจากข้อแรกครับ  ถึงแม้เราคลายเบรคได้เนียนแล้ว แต่ถ้า เรารีบเดินคันเร่ง หรือกระแทกคันเร่งแรงเกินไป
ก็กลายเป็นการถ่ายน้ำหนักมากไปอีก  แน่นอน อันเดอร์!  ทำให้มันนุ่มนวล และรวดเร็วครับ


3. อันเดอร์ตอนออกโค้ง    อ่า อันสุดท้าย ท้ายสุด  อันนี้ชัดเจนเลย คือ การรีบเดินคันเร่ง ทั้งๆที่ล้อยังไม่ตรง ยังไม่เข้าไลน์ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้แทรคชั่นหายไป
3.1 คืนพวงมาลัยให้ถูกจังหวะ   ตอนออกโค้ง  ถ้าเราไม่คลายพวงมาลัยตามแทรคชั่น แน่นอนว่าเราเดินคันเร่งได้ไม่เต็มแน่นอนไลน์ที่เราใช้ออกจากโค้ง แม้กระทั่งการรีบเดินคันเร่ง(ใจร้อน)  หรือจุดที่มองผิด ก็ทำให้อาการอันเดอร์ตอนออกโค้งเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สามกรณีนี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้เสมอครับ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม  อ่านแล้ว ลองเอาไปคิดดู ว่าเราเคยเจอแบบไหนมาบ้าง วิธีแก้ไขก็ตามที่ผมบอก
ไม่ได้ให้ไปลองบนถนนนะครับอันนี้ เอาเป็นว่า รู้ไว้ใช่ว่าดีกว่า  ขอให้สนุกสนานกับการขับซูบารุคร๊าบบบ   

***ข้อควรระวังอีกข้อ ที่มักเจอบ่อยๆนะครับ คือ ยิ่งอันเดอร์ คนจะยิ่งเลี้ยวมากขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิดเลย  ระวังด้วยนะครับ**
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ thor111

  • Subaby!!!
  • *
  • กระทู้: 4,524
  • Popular Vote : 27
  • Dont Judge Me, You Don't Even Know Me
ท่านั่งและการวางตำแหน่งเท้า

รถบ้าน ไม่ควรวางเท้าซ้ายคาไว้บนแป้นคลัทช์ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง  อย่างแรกก็ตามที่แบงก์ว่าไว้แล้ว คือน้ำหนักเท้าจะกดลงบนแป้น
ไม่ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม    อีกอย่างที่คนมักมองข้าม ก็คือเรื่องของท่านั่งนี่หละ     ที่ผมพูดถึงท่านั่งเพราะว่ามันมีความสำคัญ
ท่านั่งที่ถูกต้อง ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย   ไม่ว่าจะเป็นการจับพวงมาลัย ระยะห่างของแขน ขา สำคัญหมด  แต่รายละเอียด ผมว่าหลายๆท่านทราบ
และหลายๆท่านอาจจะยัง  แต่ผมขอพูดถึงเฉพาะไอ้เจ้าเท้าซ้ายเรานี่หละ  ว่าทำไมต้องอยู่บนพักเท้า
พูดถึงเบาะรถบ้านก่อนละกัน จะได้เข้าเรื่องได้   เบาะรถบ้านๆ  ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ตาม  เน้นความสบายเป็นหลัก  เมื่อเน้นความสบายเป็นหลัก
ไอ้ความกระชับแบบเบาะแข่งก็ย่อมมีน้อย   พอความกระชับมีน้อย  ถ้าวิ่งตรงๆคงไม่มีอะไร  แต่ถ้าต้องวิ่งผ่านโค้ง ไม่ว่าจะโค้งแคบ โค้งกว้าง รถย่อมมีแรงเหวี่ยง
แล้วเวลารถมีแรงเหวี่ยง ก็ตามที่บอกครับ  รถบ้าน เบาะสบาย ไม่เน้นกระชับ พอโดนเหวี่ยงๆ  โอกาสที่ตัวจะเลื่อน จะไถล สไลด์ไปข้างๆมีแน่นอน
ไอ้เจ้าเท้าขวาก็ต้องอยู่ที่คันเร่ง หรือเบรค ในเวลานั้นแน่นอน  เหลือเท้าซ้ายเท่านั้นเองที่พอจะยันกับพักเท้าเอาไว้เป็นหลักได้  แต่เผอิญว่า  เราดันเอาไปวางบนคลัทช์
ละจะเหลืออะไรมาเป็นหลักได้ละครับ?    ที่ตั้มเห้นในวิดิโอ  บ่อยครั้งที่นักแข่งคนนั้น นั่งบนเบาะแข่ง ก็อาจจะพอวางบนแป้นคลัทช์ได้ จะเพื่ออะไรก็แล้วแต่
แต่จริงๆก็ไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี  รถแข่งทางเรียบ  ไม่ได้เปลี่ยนเกียร์กันบ่อยๆแบบแรลลี่ครับ ไม่จำเป็นต้องวางคาไว้ก็ได้
อ่ะ พูดถึงแรลลี่ต่ออีกหน่อย ไหนๆก็ว่ามาแล้ว   นักแข่งแรลลี่ชั้นนำเอง ก็ไม่วางเท้าบนแป้นคลัทช์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบรุ่นใหม่ๆ ไม่ใช้คลัทช์หรือเป็นแบบใช้คลัทช์ปกติ     แต่บางกรณีที่เค้าต้องวาง ก็ทำได้  เนื่องจากรถแรลลี่ ทุก SS ต้องมีการทำรถ ซ่อมรถกันตลอด  ฉะนั้น ถ้าชุดคลัทช์เสียหายจากกรณีอื่นๆ
หลงรักขับ 4....หลงรัก Subaby!!!

ออฟไลน์ CaptaiN

  • "อย่าจี้ตูด เดี๋ยวปู๊ดให้ดม กร๊ากกก"
  • *
  • กระทู้: 878
  • Popular Vote : 23
  • I BELIEVE. I CAN FLY.
    • อีเมล์
Re: การฝึกขับรถบนถนน โดยอาจารย์อั๋น (หาของเก่าไม่เจอ)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2011, 11:11:10 am »
ใช้เวลาอ่านและทำความเข้าใจ  เอ้อ 2วันกว่าจะจบ 


ขอบคุณอาจารย์ อั๋น และ พี่ต่อที่มารีวิว์ให้คร๊าบบบบ
ถ้าคุณแน่.....อย่าแพ้ขับ4

ออฟไลน์ zeal

  • *
  • กระทู้: 6
  • Popular Vote : 2
อ่านจบแล้ว .. มีประโยชน์สุดๆ ขอบคุณครับ