เอาละ ... กลับมาต่อกันดีกว่าครับ
ตอนที่ 4
หลังจากที่ผมได้ผิดหวังกับเจ้าอิมคันแรกกันแบบ สวรรค์ล่ม ฟ้าถล่ม อย่างที่ได้เล่าให้ฟังในคราวก่อน หลังจากนั้นก็เป็นช่วง low profile สุดๆ ไม่อยากจะกลับไปนึกถึงมันอีก เพราะอิมช่างเป็นสิ่งที่ ไกลเกินเอื้อม เสียเหลือเกิน ลองคิดดูนะครับว่าไอ้ผมมันก็คนธรรมดาเดินดินคนนึงที่ไม่ได้มีสมบัติพัสถานหรือมรดกอะไรทั้งนั้น หากว่าจะต้องตั้งครอบครัวและจะต้องมีทั้งบ้านและรถ อีกทั้งต้องเตรียมความพร้อมสำหรับลูกคนแรก ก็คงจะหมดเวลากันไปอีกสัก 5-6 ปีเป็นอย่างต่ำละครับ
ระหว่างนั้นก็แทบจะไม่มีอาทิตย์ไหนเลยที่ผมจะไม่นึกถึง อิม ถ้าไม่อ่านหนังสือ ก็ต้องดูเว็ป หรืออย่างน้อยก็ไปเปิดคลิปใน YouTube ดูเอาก็ยังดี ทั้งรถที่เค้าเอามาโพสกันจนถึงคลิปการแข่งขันใน WRC ไม่ว่าจะเป็น Petter Solberg หรือ Tommi Makinen นี่ผมจะชอบมากเลย เหล่าบรรดาเพื่อนสนิทผมนี่เค้าจะรู้กันเลยว่าผมชอบของผมอยู่ยี่ห้อเดียวคือ ซูบารุ เพราะไม่ว่าเพื่อนผมจะซื้อซีรีย์ 5 หรือรถหรูใดๆ มาขับกันจนเปลี่ยนกันไป 2-3 รุ่น หรือแม้ภรรยาผมจะพูดถึงรถสวยๆ ว่าหากในอนาคตเรามีตังค์มากขึ้นก็ค่อยซื้อมาขับนะ จะมือ 1 หรือมือ 2 ก็ได้ (ส่วนใหญ่ก็เบ๊นซ์ บีเอ็ม นั่นแหละ) ผมก็จะบอกแต่ว่าสวยดี ให้ขับฟรีๆ เอา แต่หากเสียตังค์ซื้อไม่เอา จะเอาแต่ อิม เท่านั้น จนบางครั้งภรรยาคิดว่าผมแกล้งพูดจากวนอารมณ์ ... เพราะนึกไม่ถึงว่าผมจะไม่เคยลืมอิมเลย
ในระหว่าง 6 ปีนั้น ผมก็ได้มีโอกาส (แอบ)ไปดูอิมคันที่ 2 ครับ แต่ก็ได้แค่ไปจับๆ แล้วก็สตาร์ทฟังเสียงดู เพราะดูแล้วห่างไกลความเป็นไปได้สำหรับผมเสียเหลือเกิน เนื่องจากมันเป็นเหยี่ยว ที่แต่งมาเกิน 500 ม้า และสมบูรณ์แบบที่สุดคันนึงในประเทศไทยเหมือนกัน ก็เป็นของเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งใน SSS นั่นแหละครับ แต่รู้สึกว่าเพิ่งจะขายไป ในตอนที่เพื่อนสมาชิกท่านนี้ได้มา เห็นลงข้อมูลว่าประมาณ 2 ล้านกลางๆ ส่วนไอ้ตอนที่ผมไปดูตอนนั้น เขาวางราคาไว้ 3.2 ล้านครับ (มันไกลเกินความเป็นจริงมั้ยล่ะ) แต่ก็เกือบมีลูกบ้า กะว่าจะกินแต่ข้าวแกงกับมาม่าทุกวัน แล้วค่อยไปบอกคนที่บ้านว่าคันละ 2 ล้าน แต่พอมาใคร่ครวญอย่างรอบคอบดูแล้วก็ตัดสินใจว่า อย่าดีกว่า เพราะมันจะทำให้ครอบครัวเราต้องเดือดร้อน และหากพิจารณาให้รอบคอบแล้ว เราเองก็ควรจะรู้เส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง กิเลส อันไม่มีที่สิ้นสุด กับ ความลุ่มหลง ที่สร้างแรงบันดาลใจดีๆ ได้ และแล้วก็ต้องตัดใจกันไปครับ สำหรับคันนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เหยี่ยวน้ำเงิน ตัวนี้เค้าสวยจริงๆ เลย ขนาดแค่ยืนลูบๆ คลำๆ อยู่แค่ภายนอก ยังรู้สึกขนลุกใจเต้นเลย (ไม่รู้ว่ามีเพื่อนๆ ท่านใดเคยรู้สึกอย่างนี้มั้ย เวลาเจอคันที่ใช่ หรือคันที่ชอบ)
หลังจากนั้นก็ไม่คิดมากแล้วครับ ใช้ชีวิตสนุกสนานกับครอบครัว ตั้งใจทำงาน เป็นคุณพ่อและสามีที่ดีไป แต่ในใจก็ตั้งความหวังลึกๆ ไว้ตลอดว่า ถ้าเจอ คันที่ใช่ เมื่อไหร่ เราจะต้องสอยมาทันที จะไม่มีคำว่า พลาด อีกเป็นอันขาด (ผมว่าไอ้ความบ้า อิม ของผมนี่ มันไม่ได้น้อยไปกว่าเหล่าสาวก Little Monster ของเลดี้ กาก้า ที่ไปนอนหน้าสเตเดี้ยม 1 สัปดาห์ล่วงหน้าสักเท่าไหร่เลย)
ต่อมาในช่วงกลางปี 11 มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนงานใหม่ ก็อาชีพปัจจุบันนี่ละครับ เป็นงานขายและตลาดที่เกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬาและแฟชั่น ไม่มีรถบริษัทฯ แต่ได้ค่าเสื่อมรถต่อเดือน และต้องมีการทำการตลาดในรูปแบบต่างๆ เยอะ รวมถึงต้องเข้าใจในผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ และวิธีการสื่อสารทางการตลาดทุกรูปแบบ ก็เลยชักรู้สึกตะหงิดๆ ว่า เอ๊ะ ... ชักเข้าทางแฮะ นี่มันสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบ ที่เกือบจะทำให้เราได้อิมมาครอบครองในครั้งก่อนนี่นา ถ้าหากไม่เดินหน้าวางแผนในตอนนี้ ก็คงต้องเป็นชาติหน้าแล้วหละที่จะได้ขับอิม
หลังไอเดียบรรเจิด (อีกครั้ง) จากนั้นก็เริ่มเป็นขั้นเป็นตอนกันเลยครับ ตั้งแต่เตรียมความพร้อมให้ตัวเองก่อน เพื่อคุณสมบัติข้อที่ 3 (ความสามารถที่จะใช้รถให้ได้ในชีวิตประจำวัน) แม้อาชีพใหม่ของผมจะเริ่มส่ง แต่เนื่องจากวัยที่มากขึ้น ขับอิมอาจจะมีคนมองแปลกๆ โดยเฉพาะลูกค้าหรือคู่ค้า หรือแม้แต่อาจจะโดนภรรยาค่อนขอดได้ ก็เลยต้องปรับตัวเองใหม่เลยครับ จากเดิมที่ใส่สแล็คผูกเน็คไท รองเท้าหนังมันปล๊าบ มีสูทบ้างตามโอกาส แต่หน้าที่การงานใหม่นั้นเอื้อให้ใส่ยินส์,โปโล, T-Shirt, เสื้อเชิ๊ตลำลอง, และรองเท้าผ้าใบ ก็เข้าทางเลยครับไปกันได้กับแนวรถ
แต่แค่นี้ยังไม่พอเพราะครั้งนี้ตั้งใจจะกำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการเป็นเจ้าของอิมให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง และด้วยความที่ทำงานในเมือง แต่บ้านอยู่แถบ บางกรวย-ไทรน้อย ซึ่งรถจะติดมากทั้งเช้าและเย็น หากเราใช้อิมเกียร์ธรรมดา และถ้าไปได้รถที่แต่งมาเยอะ ก็คงอ่วมแน่ๆ แถมอาจจะโดนคนใกล้ตัวด่าอีก ผมก็เลยเตรียมความพร้อมด้วยการตื่นเช้าขึ้น(มาก) คือจากเดิมเคยตื่นตีห้าครึ่ง ออกจากบ้านเจ็ดโมง ใช้เวลาไปทำงานตอนเช้า 1.5-2 ชม.ทุกวัน ก็เปลี่ยนเป็นตีสี่ครึ่ง แล้วออกจากบ้านประมาณตีห้าครึ่งกว่าๆ ถึงที่ทำงานก่อนหกโมงครึ่ง พอจอดรถเสร็จก็เดินไปเข้าฟิตเนสโดยวิ่งและเข้า weight training ทั้งหมดประมาณชั่วโมงครึ่ง เสร็จแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวเดินกลับมาทำงานต่อ
ไอ้ที่ทำเนี่ยก็เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้เกียร์ธรรมดาในชีวิตประจำวันได้ และให้ร่างกายมีความตื่นตัวมากพอที่จะควบคุมรถที่ประสิทธิภาพสูงมากๆ อย่างซูบารุได้ เพราะในระยะหลัง งานจะหนักมากขึ้นตามความรับผิดชอบ แต่พักผ่อนน้อยและไม่ออกกำลังเลย ร่างกายก็เลยขาดความสดชื่น และมีอาการง่วงเหงาหาวนอนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงค่ำๆ ถึงดึก ตอนที่ขับรถกลับบ้าน (ไอ้การหลับในระดับชนขอบปูน จนรถกระเด้งกลับมาแล้วค่อยตื่นผมก็ยังเคยมาแล้ว)
เพื่อนสนิทผมพอรู้เข้ามันบอกว่า ไม่เคยเห็นใครจะต้องมาลงทุนลงแรงมากขนาดนี้เพื่อให้ได้รถที่ชอบมาขับเลย ก็แค่เดินไปซื้อเอามาขับก็จบ ผมก็เลยตอบไปว่า ไม่ได้ต้องการจะให้มันเว่อร์อะไรหรอก ก็แค่อยากให้คนที่เรารัก เขายอมรับในสิ่งที่เรารักด้วย ก็แค่นั้น และผมว่ามันก็คุ้มค่า ที่จะลงทุนกับสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ ผมเองยังประทับใจที่สมาชิกท่านหนึ่ง คือ คุณแมว (ขออนุญาตเอ่ยถึงอีกครั้ง) เขียนลงในกระทู้ว่า เพราะว่าอิมเป็นรถที่พิเศษ จึงต้องการการดูแลแบบพิเศษ เช่นกัน ผมเลยคิดว่า ไอ้การที่ผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้ ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติสำหรับ คนรักอิม อย่างเราๆ ท่านๆ นะครับ
ก็เดินหน้าปฏิบัติตนอย่างนั้นมาตั้งแต่ พ.ค. - ก.ย. ปีที่แล้ว โดยเล็งว่าหากโบนัสปลายปีออก (ซึ่งน่าจะออกมาดี) คงจะต้องไปอัญเชิญ น้องอิม สักคันมาประดิษฐานที่โรงรถให้ได้ ช่วงนั้นก็เตรียมเล็งเป้าหมายไว้หลายคัน และวางแผนว่าพอพร้อมทุกอย่างทั้งข้อ 3 และ ข้อ1 คราวนี้แหละ ไอ้ข้อที่ 2 (ครอบครัว) ที่เคยมีปัญหาเนี่ย มันจะต้องผ่านแบบนอนมาแน่นอน เพราะบ้านก็มีแล้ว หน้าที่การงานมั่นคงทั้งคู่ ลูกก็เริ่มจะรู้ความและจะเข้าป.1 ปีหน้าอยู่แล้ว มันคงจะไม่มีอุปสรรคอะไรมาหยุดยั้งเราได้เป็นแน่แท้ แม้นว่าคนที่บ้านจะไม่ชอบซูบารุอย่างแรง (ผมว่าเข้าขั้นอคติเลยหละ) แต่โบราณท่านว่า น้ำเซาะหินยังกร่อน แล้วนี่มัน ภรรเมีย ทั้งคน หากเราใช้ลูกตื๊อ+ความเพียร&ความด้าน มันก็ต้องมีกร่อนบ้างซิฟะ
ในขณะที่ความฝันของผมดูเหมือนจะเข้าใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกขณะ หลังจากที่ผ่านไปถึง 13 ปี จู่ๆ ความรู้สึกเหมือน สวรรค์ล่ม ฟ้าถล่ม ก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงกลาง ก.ย.11 ซึ่งได้เกิดวิกฤตมหาอุทกภัย และบ้านที่เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเราทั้งสอง ก็อยู่ในเขตนั้นด้วย ณ เวลานั้น มันเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอเลยครับ คิดในใจว่าเอาอีกแล้ว คงฝันสลายอีกแล้วสิเรา และคราวนี้อาจจะถึงขั้นเกิดวิกฤตทางการเงินของครอบครัวกันเลยทีเดียว เพราะบ้านของเราก็ทำตกแต่งภายในไปเยอะ และเป็น build in เกือบทั้งหลัง ถ้าหากน้ำท่วมถึงภายในบ้าน ก็คงจะเสียหายอย่างหนักแน่ๆ และเมื่อถึงตอนนั้นงบอิมของผมมันก็คงจะสูญไป กว่าความพร้อมจะกลับมาอีก ก็คงอย่างน้อยอีกหลายปีข้างหน้าแน่นอน
พอย่างเข้าเดือน ต.ค. น้ำหลากที่มาจากทางปทุมธานี กวาดบ้านน้องชายผมตรงเส้น 345 ไปก่อน น้ำขึ้นเร็วมากจากระดับปริ่มพื้นจนถึงเอวภายใน 6 ชม. และจบที่ระดับความสูง 1.5 เมตร ความเสียหายอยู่ในระดับรุนแรงเพราะเก็บของกันไม่ทัน จากการคาดคะเนของผม บ้านผมอาจจะมีเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หรือน้อยกว่า และหากผมเก็บของได้ทัน และลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด โอกาสที่จะเป็นเจ้าของอิม อาจจะยังไม่หลุดลอยไปไกลนัก และอาจจะยังพอที่จะคว้ากลับมาได้ทัน
หลังจากนั้นอีกไม่ถึงสัปดาห์ เมื่อ น้องน้ำ มาถึง เธอก็ได้พาเอาความเสมอภาคจริงๆ ของคนไทยทั้งประเทศมาให้ด้วย เพราะไม่ว่าจะยากดีมีจนยังไง ก็ ท่วม เหมือนกันหมด บ้านผมโดนเข้าไปที่ระดับ 1.2 เมตร ต่ำกว่าบ้านน้องชายหน่อย แต่ภายในที่เป็น build in เสียหายหมดโดยเฉพาะพื้นบ้าน ที่ผมอุตส่าห์ลงทุนทำเป็นไม้บีชอย่างดีเพื่อให้ลูกนั่งเล่นกับพื้นได้ เพราะมันไม่เย็นจนเกินไป มันลอยขึ้นมาทั้งแผ่นเลยครับ ตอนที่ผมกับภรรยาโบกรถ แล้วต่อเรือเข้าไปเพื่อดูความเสียหายของบ้านนั้น ผมต้องพายเรือตั้งแต่หน้าหมู่บ้านเข้าไป พอเห็นสภาพบ้านเท่านั้น ภรรยาผมถึงกับน้ำตาซึม ส่วนผมนั้นทำใจไว้ก่อนแล้ว ในวินาทีนั้นสำหรับผมแล้ว ไม่มีคำว่า อิม อยู่ในหัวสมองอีกต่อไป ...... (มาต่อกันตอนหน้านะครับ ว่าผมสามารถจะพลิกฟื้นสถานการณ์หลังน้ำท่วม และนำ อิม กลับมาอยู่ในสมการได้อย่างไร)